วันอังคาร ที่ 29 เมษายน 2568 21:19น.

TISCO ESU ฟันธงกนง. ลดดอกเบี้ยอีก 0.25% รับมือสงครามการค้า- เศรษฐกิจโตต่ำ

29 เมษายน 2025

        ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ คาด กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมรอบวันที่ 30 เม.ย.นี้ และครึ่งหลังมีแนวโน้มปรับลดอีก 1 ครั้ง เพื่อรับมือสงครามการค้า และเศรษฐกิจที่อาจโตต่ำเพียง 1.5% 

        นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า TISCO ESU คาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.75% ในการประชุมครั้งที่ 2 ของปีในวันที่ 30 เมษายน 2568 จากความไม่แน่นอนของนโยบายสงครามการค้าสหรัฐฯ ที่ส่งผลกดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งอัตรากำแพงภาษีที่ไทยถูกตั้งก็สูงกว่าคาดมาก ทั้งนี้ คาดว่า กนง. จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงมาอยู่ที่ราว 2% ซึ่งต่ำกว่าประมาณการครั้งก่อน และต่ำกว่าตัวเลขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้

        ในระยะถัดไป TISCO ESU ประเมินว่า กนง. อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพิ่มเติมอีกเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมาก แต่จะดำเนินการอย่างระมัดระวัง เนื่องจากต้องคำนึงถึงการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต (Policy Space) โดยคาดว่าอาจเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในการประชุมเดือนสิงหาคม 2568 สู่ระดับ 1.50% ในปี 2568

        ด้านค่าเงินบาท ค่อนข้างมีเสถียรภาพในช่วงที่ผ่านมา โดยปรับแข็งค่าขึ้นประมาณ 2% ตั้งแต่ต้นปี สวนทางกับดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลงมากว่า 8% (YTD) ซึ่ง TISCO ESU ประเมินว่า อาจเห็นค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าแตะระดับ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ก่อนจะกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี แม้ภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะอ่อนแอลงจากครึ่งปีแรกก็ตาม

       ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจ TISCO ESU ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 มาอยู่ที่ 2.1% จากเดิมที่คาดไว้ 2.8% และมองว่ามีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจขยายตัวได้เพียง 1.5% เท่านั้น หากอัตราภาษีไม่ลดลงจากระดับ 36% ที่ประกาศไว้ในวันปลดแอกของสหรัฐฯ (Liberation Day) ทั้งนี้ การปรับลดประมาณการดังกล่าวสะท้อนถึงผลกระทบของสงครามการค้าซึ่งรุนแรงกว่าที่คาดไว้มาก แม้ว่าจะมีระยะเวลาผ่อนผัน 90 วันสำหรับการเจรจา แต่ยังไม่มีความแน่ชัดว่าผลการเจรจา จะนำไปสู่การลดอัตราภาษีลงได้หรือไม่ อีกทั้งยังมีผลกระทบกับความสัมพันธ์กับคู่ค้ารายอื่น โดยเฉพาะจีน ซึ่งได้แสดงท่าทีเตรียมตอบโต้ประเทศที่จะตกลงกับสหรัฐฯ ในลักษณะที่กระทบกับผลประโยชน์ของจีน

       นายเมธัส กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี จากการส่งออกสินค้าในครึ่งปีหลังที่มีแนวโน้มหดตัวในระดับเลขสองหลัก ส่วนทิศทางการลงทุนภาคเอกชน คาดว่านักลงทุนจะชะลอการตัดสินใจออกไป หรือในกรณีย่ำแย่บางส่วนอาจถึงขั้นล้มแผนการลงทุน นอกจากนี้ อาจเห็นสัญญาณการปิดกิจการและการเลิกจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs จากกำลังการผลิตส่วนเกินของสินค้าจีนที่จะทะลักเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และกดดันกำลังซื้อของครัวเรือนให้ซบเซาลง อีกทั้งภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูงจะส่งผลให้ประชาชนลดการบริโภคและเพิ่มการออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้การหมุนเวียนของเงิน (Money Velocity) ชะลอตัว และเสี่ยงเกิดเป็น Negative Feedback Loop ซึ่งจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมซึมลงไปเรื่อย ๆ อีกทั้งยังทำให้ประสิทธิผลของนโยบายการเงินลดลงด้วย

        อย่างไรก็ดี แม้รัฐบาลจะมีวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในงบกลางกว่า 1.5 แสนล้านบาท และมีการเปิดเผยถึงแผนการกู้เพิ่มเติมอีกราว 5 แสนล้านบาท ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง แต่อาจจำเป็นจะต้องปรับกรอบเพดานหนี้สาธารณะขึ้นไปสูงกว่าปัจจุบันที่ตั้งไว้ 70% โดย TISCO ESU ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจะระยะยาว

       “นอกจากแผนรับมือในระยะสั้นแล้ว แผนการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะยาวก็มีความจำเป็นอย่างมาก ทั้งการเสริมความแข็งแกร่งให้กับ SMEs การปฏิรูปกฎหมายเพื่อลดความยุ่งยากในการประกอบธุรกิจ และส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียม รวมถึงการยกระดับคุณภาพการศึกษา และการปรับตัวให้เท่าทันกับเทคโนโลยี (Tech Adoption) เพื่อพัฒนาทักษะแรงงานในประเทศให้พร้อมรับมือกับการค้าโลกยุคใหม่ที่จะเปลี่ยนไปสู่ De-globalization แบบ Multi-polar หรือการค้าโลกที่จะแบ่ง Supply Chain ออกเป็นหลายขั้ว และตัดสายอุปทานให้สั้นลง นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ (Super aged society) ในอีก 5 ปีข้างหน้าอีกด้วย” นายเมธัส กล่าว


คลิปวิดีโอ