นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2568 นี้ บลจ.ทิสโก้ ยังคงมุ่งเน้นการเติบโต การขยายฐานลูกค้า และ AUM ในทั้ง 3 ธุรกิจ ทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกองทุนส่วนบุคคล และโดยเฉพาะธุรกิจกองทุนรวม ที่จะขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางตัวแทนผู้สนับสนุนการขายและ ช่องทางออนไลน์ โดยมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
พร้อมทั้งมองหาโอกาสในการออกผลิตภัณฑ์กองทุนใหม่ๆ รวมถึงการนำเสนอกองทุน ที่ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง อันได้แก่ กองทุนทริกเกอร์ ซึ่งจะทยอยออกในช่วงที่ตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศมีความผันผวน หรือปรับตัวลดลง โดยเชื่อมั่นว่าจะเป็นกลุ่มกองทุนที่ช่วยจับจังหวะสร้างผลตอบแทนระยะสั้นให้แก่นักลงทุนได้เป็นอย่างดี
‘เรามองว่าในปี 68 คาดว่าจะเติบโต 5-6% จากปี 67 ที่แตะระดับ 406,802 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเติบโต 7% ต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 62 มี AUM อยู่ที่ 290,239 ล้านบาท
ขณะเดียวกันบลจ.ทิสโก้ จะเดินหน้าแนะนำ 2 ธีมกองทุนรวมที่โดดเด่นของปี 2568 ได้แก่ ธีมที่ได้ประโยชน์จากนโยบาย 2.0 ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกอบด้วย กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในธุรกิจ AI ของสหรัฐฯ กองทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพและกองทุนหุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ รวมถึงธีมกองทุนที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นข้ากว่าตลาด (Laggard Play) ในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย กองทุนหุ้นขนาดกลาง – เล็กของสหรัฐฯ กองทุนหุ้นเอเชีย และกองทุนหุ้นเวียดนาม
“จากความสำเร็จในการบริหารจัดการกองทุนทริกเกอร์ในปีที่ผ่านมาสะท้อนว่าบลจ.ทิสโก้เป็นตัวจริงเรื่องกองทุนทริกเกอร์ ซึ่งในปี 2568 ยังคงเดินหน้าจับจังหวะการลงทุนและนำเสนอกองทุนทริกเกอร์ฟันด์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับมุ่งบริหารทุกกองทุนให้มีผลตอบแทนเหนือดัชนีชี้วัด
โดยเฉพาะกองทุนหุ้นไทยที่หลายกองมี Performance อยู่ในระดับต้นๆ ของประเภทกองทุนหุ้นไทย ทั้งในช่วงระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว (ข้อมูลจาก Morningstar Thailand ณ 25 ม.ค. 68) และมั่นใจว่า ผู้จัดการกองทุนจะยังคงบริหารกองทุนให้มีผลตอบแทนที่ดีเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอ” นายสาหรัชกล่าว
สำหรับในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บลจ.ทิสโก้ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนและลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) ของบลจ.ทิสโก้ เติบโต 40% จาก 290,239 ล้านบาท ในปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 406,802 ล้านบาท ในปี 2567 หรือเฉลี่ยเติบโต 7% ต่อปีในช่วง 5ปีที่ผ่านมา
ด้านนายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า สำหรับภาพรวมการลงทุนใน ปี 2568 ยังคงมีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันราคาหุ้นทั่วโลกมีมูลค่า (Valuation) ค่อนข้างแพง โดยเฉพาะฝั่งตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ที่เดินหน้ามาตรการสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งบลจ.ทิสโก้คาดว่าทรัมป์จะดำเนินนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่หาเสียงไว้ในครั้งนี้อย่างจริงจังมากกว่าการดำรงตำแหน่งครั้งก่อนอย่างแน่นอน
ดังนั้น ในมุมมองของ บลจ.ทิโก้ยังคงคาดว่าหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินของสหรัฐฯ หุ้นกลุ่มการบริโภคที่เกี่ยวข้องกับประเทศสหรัฐฯ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) จะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ โดยหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินจะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์
ขณะที่หุ้นกลุ่มการบริโภคของสหรัฐฯ จะได้รับประโยชน์จากการบริโภคในประเทศที่แข็งแกร่ง และหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่ราคาหุ้นไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากนักในช่วงปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีนเป็นอีกตลาดหุ้นหนึ่งที่น่าจับตาเพราะราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำ
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ เริ่มเห็นผลแต่ยอมรับว่าความเสี่ยงต่างๆ ที่จีนได้เผชิญในปีที่ผ่านมาก็ยังคงอยู่ และยังมีความเสี่ยงจากนโยบายของทรัมป์เข้ามาเพิ่มในปีนี้
สำหรับตลาดหุ้นไทยในปี 2568 บลจ.ทิสโก้คาดว่าดัชนีจะปิดปีที่ 1,530 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปี 2567 แม้ในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เป็นการเติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กระจุกตัวอยู่เฉพาะบางอุตสาหกรรมเท่านั้น เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก พลังงาน อาหาร และซอฟต์แวร์ ซึ่งไม่ได้เป็นการเติบโตในวงกว้างจึงยังไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่อุตสาหกรรมที่มีแรงงานจำนวนมากนั้นยังไม่เติบโตดีเท่าที่ควร