นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นายกิตติพงษ์ บุรณศิริ รองผู้จัดการทั่วไป สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์ และผู้บริหารจากกลุ่มบริษัทลีสซิ่ง ที่เป็นสมาชิกสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย นำโดย นายศรัณย์ ทองธรรมชาติ ประธานกรรมการสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย ร่วมด้วยนายอนุฤทธิ์ วงศ์อุดม ประธานสายงานธุรกิจสินเชื่อและเช่าซื้อ นายบุญหนา จงถิ่นสุวรรณ ผู้อำนวยการสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย และนางสาววัลยา ตระการนุวัฒน์กุล ผู้อำนวยการสายงาน ฝ่าย Credit พร้อมผู้แทนจากกลุ่มบริษัทลีสซิ่ง ร่วมประชุมหารือแนวทางพัฒนาโครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ “บสย. SMEs PICK-UP” ภายใต้มาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” เพื่อปลดล็อกให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่จำเป็นต้องใช้รถกระบะเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ เช่น กลุ่มเกษตรกร ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ขนส่งสินค้า ค้าขาย และฟู้ดทรัค เป็นต้น สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. เพื่อให้โครงการดังกล่าวเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อผู้ประกอบการ SMEs พร้อมพลิกฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เติบโต เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 ณ ห้องประชุมคณะกรรมการ บสย. อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 2 ชั้น 18
มาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” เป็นมาตรการภายใต้นโยบายของภาครัฐ ที่มุ่งช่วย SMEs ลดภาระทางการเงิน ด้วยสิทธิประโยชน์ ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก โดยรัฐบาล กระทรวงการคลังเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมค้ำประกันให้ ส่วนปีที่ 4-7 คิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันต่ำเพียง 1.5% ต่อปี ของภาระหนี้ค้ำประกันในแต่ละปี เช่นภาระหนี้สินเชื่อปีที่ 4 คงเหลือ 300,000 บาท SMEs จะจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันเพียง 4,500 บาทเท่านั้น พร้อมค้ำประกันนานสูงสุด 7 ปี หรือ 84 งวด วงเงินค้ำประกันสูงสุด 1.5 ล้านบาทต่อราย ภายใต้วงเงินค้ำประกันในระยะแรกจำนวน 5,000 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมายคือ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย ที่ขอสินเชื่อเช่าซื้อสำหรับซื้อรถกระบะใหม่เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ บสย. ได้เปิดรับคำขอค้ำประกันตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา และจะสิ้นสุดรับคำขอค้ำประกันภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 โดยคาดว่าจะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการซื้อรถกระบะใหม่ เข้าถึงสินเชื่อได้กว่า 6,250 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบกว่า 5,000 ล้านบาท และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 21,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังช่วยพลิกฟื้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยได้มากกว่า 2,500 บริษัท