สถาพร เอสเตท (SE) เดินหน้ารุกตลาดอสังหาฯ ปี’65 เต็มกำลัง ปักธงแนวคิด “ PASSION FOR LIVING WELL” ขับเคลื่อนธุรกิจ มุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยด้วยแนวคิดการดีไซน์ ฟังก์ชั่น และส่วนกลางที่โดดเด่น เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัย ตาม 3 กลยุทธ์หลัก “Design – Functional – Product Facility” ลุยเปิด 3 โครงการใหม่ บน 3 ทำเล มูลค่ารวมกว่า 3,306 ล้านบาท พร้อมรีเฟรชแบรนด์ให้ทันสมัย โดนใจลูกค้า ตั้งเป้ายอดขาย ปีนี้กว่า 2,400 ล้านบาท
นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด (SE) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพทั้งโครงการคอนโดมิเนียม บ้าน และทาวน์โฮม เปิดเผยว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นศึกษาและวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม Mid to High ซึ่งเป็น Segment ที่บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนามาโดยตลอด โดยเป็นการศึกษาเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นการเสริมความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงการ และรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาวการณ์ปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด
“หลังจากที่บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาโครงการทั้งแนวราบ-แนวสูง เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมการออกแบบที่ทันสมัย สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และใส่ใจในสิ่งแวดล้อม จนทำให้เกิดการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น โครงการ “เดอะ เชดด์ สาทร 1” (The SHADE Sathon 1), โครงการ “อิเธอร์นิตี้ ทาวน์ พริมโรส วัชรพล” (ETERNITY TOWN PRIMROSE Vacharaphol) และโครงการ ”ดิ อิเธอร์นิตี้ กรีนวู้ด รังสิต-วงแหวน (THE ETERNITY GREENWOOD Rangsit-Wongwaen) ซึ่งได้รับผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า ทำให้ปัจจุบันมียอดขายรวมไปแล้วกว่า 1,150 ล้านบาท และมียอดโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 850 ล้านบาท รวมถึงมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้
สำหรับปี 2565 บริษัทฯ ได้มีการรีเฟรชแบรนด์ (Brand Refresh) ปรับสีและรูปแบบโลโก้ให้มีความทันสมัย เข้าใจได้อย่างชัดเจน พร้อมชูแนวคิดหลักในการดำเนินธุรกิจ นั่นคือ “PASSION FOR LIVING WELL” โดยสื่อถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี โดยใส่ใจและให้ความสำคัญในทุกรายละเอียดของการออกแบบ ตั้งแต่รูปแบบดีไซน์ที่มองเห็น ไปจนถึงทุกสัมผัสที่อาจมองไม่เห็น แต่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก ผสมผสานกับการพัฒนาเทคโนโลยี และการนำนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ เพื่อตอบสนองชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า”
พร้อมกันนั้น บริษัทฯ ได้แบ่งสัดส่วนสำหรับการทำธุรกิจออกเป็น ในรูปแบบ Balance Portfolio ระหว่างที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง เพื่อรักษาสมดุลในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งตั้งเป้าหมายในการเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยปีละ 3 โครงการ ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ ในการรุกตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการในทุกด้านของการอยู่อาศัย ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์หลักสำคัญ ได้แก่
DESIGN: ให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงการฯ เพื่อทุกชีวิตและธรรมชาติแวดล้อม โดยวางผังบ้านหันหน้าไปทางทิศเหนือ-ทิศใต้ และวางผังโครงการอาคารคลับเฮาส์ผนวกรวมกับซุ้มด้านหน้าโครงการ เพื่อช่วยลดเสียง มลภาวะที่จะเข้ามาภายในโครงการ และสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย อีกทั้งยังได้เลือกใช้วัสดุสมัยใหม่ ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่าง และหรูหรา เพื่อให้บ้านมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือบ้านในรูปแบบ LIVE GREEN, BE WELL เพื่อตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้ากลุ่ม “GREEN EXPERIENCER”
FUNCTIONAL: มุ่งมั่นในการพัฒนาพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน พร้อมนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ในโครงการต่าง ๆ เพื่อเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่สะดวกสบายให้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปรับเปลี่ยนพื้นที่ชั้น 2 ของบ้านให้เป็นห้องนอนเพิ่ม หรือปรับเปลี่ยนห้องอเนกประสงค์ให้เป็นห้องพักผ่อน หรือมุมสำหรับ Work From Home พร้อมทั้งพัฒนาพื้นที่สำหรับลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกัน เช่น ที่จอดรถ และสระว่ายน้ำสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อตอบ ไลฟ์สไตล์ในแบบ “HUMAN TOUCH LIVABLE”
PRODUCT FACILIITY: มุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางให้มีความครบครัน เพื่อให้สามารถตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย ได้แก่ สระว่ายน้ำทรงอิสระ (Free Form) ที่มีความต่อเนื่องกับสวนส่วนกลาง, พื้นที่สำหรับส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก, ทางเดินสำหรับออกกำลังกายของผู้อยู่อาศัยภายในโครงการ เพื่อตอบวิถีชีวิตแบบ “WELL BEING LIFESTYLE”
ในปี 2565 นี้ บริษัทฯ ได้เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,306 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวสูง 1 โครงการ ได้แก่ เดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส (THE CROWN Residences) คอนโดมิเนียมไฮไรซ์ระดับลักซ์ชัวรี่ สูง 32 ชั้น ให้ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตน้อย เพียง 183 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,016 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพเชื่อมทุกความสะดวกสบายใจกลาง Hub of Bangkok Connectionsเชื่อมต่อทั้ง 2 CBDs ทั้งสุขุมวิท และสาทร-สีลม โครงการอยู่ติดถนนพระราม 4 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ทั้งสถานีลุมพินี และคลองเตย รวมถึงจุดขึ้น – ลง ทางด่วนพิเศษเฉลิมมหานคร เพียง 5 นาที มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ Exclusive ในราคา 6 – 20 ล้านบาท*
สำหรับอีก 2 โครงการใหม่ จะเป็นโครงการแนวราบ ได้แก่ ดิ อิเธอร์นิตี้ โกร์ฟ สายไหม – พหลฯ ‘THE ETERNITY GROVE (SAIMAI – PHAHOL)’ โครงการบ้านสไตล์ใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพียง 92 ยูนิต มาพร้อม ที่จอดรถถึง 3 คัน มูลค่าโครงการ 560 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “Make it yours” โดยห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้ง สถานีคูคต และสถานี กม.25 ประมาณ 3 กิโลเมตร ในราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดเปิดพรีเซลล์ในเดือนกรกฎาคมนี้
และอีกหนึ่งโครงการแนวราบ ได้แก่ ดิ อิเธอร์นิตี้ พระราม 9 – วงแหวน (THE ETERNITY RAMA 9 – WONGWAEN) โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ใจกลางย่านพระราม 9 – วงแหวน เพียง 70 ยูนิต มูลค่าโครงการ 730 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลที่สะดวกสบายในทุกการเดินทาง และรายล้อมด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย ในราคาเริ่มต้น 9 ล้านบาท โดยกำหนดเปิดพรีเซลล์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้
โดยปี 2565 นี้ บริษัทฯ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้กว่า 2,400 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนสำหรับโครงการแนวสูงอยู่ที่ 1,386 ล้านบาท หรือคิดเป็น 58% และโครงการแนวราบอยู่ที่ 1,014 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% พร้อมตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ไว้กว่า 1,280 ล้านบาท” นายสุนทร กล่าวในตอนท้าย