นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยถึง ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2565 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 6,606 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย สามารถทำกำไรสำหรับงวดครึ่งปีได้ 378 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4 ใกล้เคียงที่คาดการณ์ไว้ จากการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับราคาขายเฉลี่ยเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2565 นายนำพล เปิดเผยว่า ในส่วนของรายได้จากการขาย บริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 3,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากการขายสินค้าทั้งตลาดในประเทศไทยและต่างประเทศ ทั้งนี้ ด้านการส่งออกยังคงมีการขยายตัวที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ เมียนมาร์ กัมพูชาและลาว อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีกำไรสำหรับงวด 167 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุสำคัญ ได้แก่ ราคาต้นทุนพลังงานและราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
นายนำพล กล่าวว่า “คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างปี 2565 จะยังคงขยายตัว แม้ว่าจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นและตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยกลุ่มผู้บริโภคระดับกลาง-บน ยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยและมีพฤติกรรมการเลือกซื้อเปลี่ยนไป คือ มีความต้องการบ้านแนวราบนอกเมืองที่มีบริเวณมากขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าประเภทงานโครงการทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญของบริษัทฯ ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจ นอกเหนือจากราคาพลังงาน รวมถึงราคาวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นแล้ว ยังมีประเด็นท้าทายที่ธุรกิจต้องเผชิญในระยะอันใกล้ คือ เรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นซึ่งเป็นแรงกดดันฉุดให้ผู้บริโภคตัดสินใจชะลอแผนซื้อที่อยู่อาศัยแม้ว่าจะยังมีความต้องการซื้อประกอบกับความผันผวนของค่าเงินและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นตามราคาพลังงาน ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด เพื่อวางแผนการผลิตและบริหารพอร์ตสินค้าได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากเป็นทั้งผู้นำเข้าสินค้ากระเบื้องเซรามิคและเป็นผู้ผลิตส่งออกลำดับต้นของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ยังมีปัจจัยที่ส่งผลดีต่อตลาดวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ มาตรการเปิดประเทศซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวให้ทยอยฟื้นตัวได้ จึงทำให้บริษัท ฯ เชื่อมั่นว่าในครึ่งปีหลังนี้จะยังสามารถเติบโตได้เมื่อเทียบกับปีก่อน”
แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่จากการที่บริษัทฯ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและมีการบริหารจัดการธุรกิจเชิงรุก ทำให้เชื่อมั่นว่าจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันผ่านกลยุทธ์ต่าง ๆ ได้ ทั้งจากการบริหารจัดการต้นทุนและลดความเสี่ยงด้วยการวางแผนการผลิตควบคู่ไปกับการบริหารพอร์ตสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและกลุ่มลูกค้าหลัก การจัดการสินค้าคงคลังอย่างเป็นระบบ ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทน เพื่อการประหยัดและลดการใช้พลังงาน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเร่งดำเนินการตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายร่วมกับผู้แทนจำหน่าย ร้านค้าโมเดิร์นเทรด รวมถึงช่องทางออนไลน์ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มทุกพื้นที่ ทั้งยังขยายสาขาของธุรกิจร้านค้าปลีกกระเบื้องเซรามิก หรือ “คลังเซรามิค” ตลอดจนพัฒนาโมเดลความร่วมมือใหม่ ๆ กับผู้แทนจำหน่ายเพื่อเร่งขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายตามแผนงานประจำปี ควบคู่ไปกับการปรับราคาสินค้าเพื่อให้เป็นไปตามกลไกของตลาด โดยบริษัทฯ หลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคาแต่จะมุ่งสร้างความแตกต่างด้วยการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด
“ไตรมาสที่ผ่านมา จากการนำเสนอสินค้าผ่านงานสถาปนิก’65 เรายังได้รับการตอบรับที่ดีหลังจากที่ห่างหายจากการออกงานไปประมาณ 2 ปีเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มนวัตกรรมในกลุ่ม Health and Clean ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบันและสินค้าในกลุ่ม ECO Collections ที่มีการลดการใช้ทรัพยากรใหม่มากถึง 80%
เมื่อคาดการณ์ถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับกระแสความตื่นตัว ทั้งในเรื่องของ สุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีรวมถึงการให้ความสำคัญกับพลังงานทางเลือกมากขึ้น นับว่าเป็นโอกาสดีที่บริษัท ฯ จะเร่งผลักดันและนำเสนอนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อรุกตลาดไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่ใส่ใจในเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี พร้อมกับมุ่งนำเสนอนวัตกรรมรักษ์โลก ที่สร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมของแบรนด์ SUSUNN ซึ่งเป็นธุรกิจให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดจำหน่าย และติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดหลากหลายประเภท
ล่าสุด แบรนด์ COTTO สามารถคว้ารางวัล Thailand’s Most Admired Brand 2022 ติดต่อกันเป็นปีที่ 11 ในฐานะ แบรนด์ที่สามารถครองความน่าเชื่อถืออันดับ 1 ในหมวดกระเบื้องเซรามิกปูพื้น บุผนัง จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภค โดยนิตยสาร BrandAge เปรียบเสมือนคำมั่นสัญญาที่ทำให้เรามุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และมีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน สังคมและสภาพแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อตอบแทนความไว้วางใจที่ลูกค้ามีให้เราตลอดมา” นายนำพล กล่าว