นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM เปิดเผยว่า แนวทางการลงทุนแบบยั่งยืนถือเป็นหนึ่งแรงผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่เติบโตจากการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ประกอบกับภาครัฐมีความมุ่งมั่นผลักดันให้การลงทุนแบบยั่งยืนกลายเป็นทางเลือกหลักของผู้ลงทุนไทย ทำให้เกิดการร่วมมือจัดตั้งกองทุน Thai ESG Extra (Thai ESGX) ซึ่งเป็นการลงทุนใหม่ที่แยกออกมาจากกองทุน Thai ESG โดยในปี 2568 มีกำหนดระยะเวลาเข้าลงทุนเพียง 2 เดือน (พฤษภาคม – มิถุนายน 2568) พร้อมโอกาสพิเศษกับสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่ม โดยแบ่งออกเป็น 2 วงเงินได้แก่ 1) วงเงินใหม่ กับสิทธิลดหย่อนภาษีปี 2568 สูงสุด 300,000 บาท และ 2) วงเงินเดิม ที่สับเปลี่ยนจากกองทุน LTF จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท โดยแบ่งใช้ปี 2568 ได้สูงสุด 300,000 บาท และส่วนเกินทยอยใช้สิทธิในปี 2569-2572ปีละเท่าๆ กัน สูงสุดไม่เกินปีละ 50,000 บาท โดยเงื่อนไขการรับสิทธิต้องโอนย้ายหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดที่ถือครองตั้งแต่ 11 มี.ค. 68 เป็นต้นไป ทุกกองทุน ทุกบลจ. ไป Thai ESGX
ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสพิเศษนี้ให้กับผู้ลงทุน SCBAM จึงเสนอขายกองทุน Thai ESGX พร้อมกัน 4 กองทุน โดยออกแบบกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายและคัดสรรหลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์ ESG เพื่อตอบทุกความต้องการของผู้ลงทุนทุกกลุ่ม มีให้เลือกลงทุนทั้งชนิดสะสมมูลค่าและชนิดจ่ายเงินปันผล โดยกองทุน Thai ESGX ของ SCBAM จะแบ่งเป็น 3 สไตล์ สไตล์แรก คือ สไตล์ผสมกับ กองทุน SCBT70X (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ผสม 70 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมผสมที่ลงทุนเชิงรุก บาลานซ์การลงทุนกับหุ้นไทยและตราสารหนี้ ESG มีสัดส่วนลงทุนหุ้นไทยที่ไม่เกินร้อยละ 70 สไตล์ถัดมา คือ สไตล์ Active แบ่งเป็น 2 กองทุน คือ กองทุน SCBTAPX (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทย ESG และกระจายความเสี่ยงด้วยหุ้นต่างประเทศที่มีนโยบายตามเกณฑ์ ESG ไม่เกินร้อยละ 20 และกองทุน SCBTAX (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทยที่โดดเด่นด้าน ESG และมีมูลค่าพื้นฐานที่น่าสนใจในสัดส่วนที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 และ และสุดท้ายสไตล์ Passiveกับ กองทุน SCBTS100X (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ดัชนี SET100FF ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทยตามดัชนี SET100 Free Float ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย โดย SCBAM จะเปิดเสนอขาย 4 กองทุนพร้อมกันวันที่ 2-8 พฤษภาคม 2568 และลงทุนต่อเนื่องได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น และเพื่อให้โอกาสพิเศษนี้ Extra มากขึ้น SCBAM จึงจัดแคมเปญพิเศษมอบ Fund Back จากการลงทุนในกองทุน Thai ESGX สูงสุด 600 บาท(*) สำหรับวงเงินใหม่ เมื่อลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าว
สำหรับกองทุน Thai ESGX จาก SCBAM จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) เงินลงทุนใหม่ โดยจะมีให้เลือกลงทุน ทั้งชนิดสะสมมูลค่า 2025 (25A) และชนิดจ่ายเงินปันผล 2025 (25D) ซึ่งจะมีรายชื่อกองทุน Thai ESGX ดังนี้ SCBT70X(25A), SCBT70X(25D), SCBTAPX(25A), SCBTAPX(25D), SCBTAX(25A), SCBTAX(25D), SCBTS100X(25A), SCBTS100X(25D) และ 2) เงินลงทุนเดิมที่สับเปลี่ยนจากกองทุน LTF โดยจะเปิดให้สับเปลี่ยนได้ทุกวันทำการตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568–30 มิถุนายน 2568 โดยมีให้เลือกลงทุน ทั้งชนิดเงินลงทุนเดิมแบบสะสมมูลค่า (LTFA) และชนิดเงินลงทุนเดิมแบบปันผล (LTFD) ซึ่งจะมีรายชื่อกองทุน Thai ESGX ดังนี้ SCBT70X(LTFA), SCBT70X(LTFD), SCBTAPX(LTFA), SCBTAPX(LTFD), SCBTAX(LTFA), SCBTAX(LTFD), SCBTS100X(LTFA), SCBTS100X(LTFD)
นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมาค่อนข้างมากและอาจยังมีความผันผวนสูงในช่วงครึ่งแรกของปี จากปัจจัยภายนอกที่กดดันเศรษฐกิจและดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวม อย่างไรก็ดี หากมองในเชิงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ จะพบว่า บริษัทไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรง ทำให้มองว่ามูลค่าราคาหุ้นไทยปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการลงทุนกับกองทุน Thai ESGX คัดสรรมาเฉพาะหุ้นไทยคุณภาพที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ESG การลงทุนจึงไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติการลงทุนที่ยั่งยืน แต่จากสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่ภาครัฐมอบให้แก่ผู้ลงทุนอย่างเต็มที่ สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ทั้งวงเงินลงทุนใหม่และวงเงินลงทุนเดิมที่สับเปลี่ยนจากกองทุน LTF ครั้งนี้ จึงเป็นข้อได้เปรียบที่ไม่มีในกองทุนลดหย่อนภาษีทั่วไป ซึ่งหากปัจจัยกดดันต่างๆ เริ่มคลี่คลาย เศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น จากมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยที่จะทยอยเข้ามาในช่วงกลางปี กองทุน Thai ESGX ครั้งนี้ เป็นโอกาสลงทุนครั้งสำคัญและประโยชน์ต่อผู้ลงทุนทั้งการได้สิทธิลดหย่อนภาษีพิเศษ และโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาว”