ไรมอน แลนด์ สรุปผลการดำเนินงานปี 2565 โชว์ผลประกอบการไตรมาส 4 เติบโตโดดเด่นอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยกำไรสุทธิ 43 ล้านบาท จากช่วงไตรมาสเดียวกัน ของปี 2564 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 457 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 4 มียอดขาย (Presales) 803 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 73% และผลประกอบการปี 2565 มีรายได้รวม 2,745 ล้านบาท* หรือเพิ่มสูงขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ระบุผลงานดีขึ้นมาจากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ อัลตร้าลักชัวรี่ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ โครงการภายใต้การร่วมทุนกับ โตเกียว ทาเทโมโนะ โดยยอดโอนกรรมสิทธิ์สามารถทำได้เกินเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งมียอดโอนกรรมสิทธิ์กว่า 2,400 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 หรือประมาณ 50% ของจำนวนยูนิตพร้อมขาย
นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจของไรมอน แลนด์ ในปี 2565 ที่ผ่านมา นับว่าบริษัทฯ ประสบความสำเร็จ มีผลประกอบการที่โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ที่สามารถทำกำไรได้จากที่มีผลขาดทุนในปีก่อนหน้านั้น รวมถึงบริษัทฯ ยังมียอดขายในไตรมาสเดียวกัน ที่สูงมากขึ้นกว่าปีก่อนเกือบเท่าตัว ขณะที่ยอดขายทั้งปี ก็ยังขยับสูงขึ้นเกือบ 7% จากปี 2564 ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีมากที่ลูกค้าของ RML เชื่อมั่นในแบรนด์และคุณภาพโครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ จึงทำให้การโอนโครงการเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2565 และมียอดโอนไปแล้วประมาณ 50% ของจำนวนยูนิตพร้อมขาย และคาดว่า จะปิดการขายในปีนี้อย่างแน่นอน
“ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 บริษัทฯ สามารถพลิกกลับมามีกำไร เนื่องจากผลการดำเนินงานที่สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ จากการบริหารจัดการต้นทุนโครงการของ RML ในปัจจุบัน รวมถึงการบริหารต้นทุนทางการเงินที่มีดอกเบี้ยแบบอัตราลอยตัวและอัตราคงที่ในสัดส่วนที่เหมาะสม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จจากการรีแบรนด์ ภายใต้สโลแกน ‘ลักชัวรี่ รีอิมเมจิ้น (Luxury Reimagined)’ เพื่อยกภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เข้าถึงง่าย ทันสมัย และขยายกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงทุกเจเนอเรชั่นที่มีกำลังซื้อของตลาดลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ จึงทำให้โครงการได้รับการตอบรับ ที่ดีมาก โดยทั้งสองโครงการภายใต้การร่วมทุนกับ โตเกียว ทาเทโมโนะ คือ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ มียอดขายแล้ว ประมาณ 80% และ ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ (Tait Sathorn 12) มียอดขายแล้วประมาณ 90%” นายกรณ์ กล่าว
บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ 4,965 ล้านบาท รวมทั้งหมด 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ ซึ่งทยอยโอนกรรมสิทธิ์มาตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2565 และโครงการ ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ คอนโดมิเนียมลักชัวรี่ ใจกลางสาทร ซึ่งจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 3 ปี 2566
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทฯ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนในโครงการต่างๆ จากการระดมทุนด้วยตนเองไปสู่การลงทุนร่วมกับบริษัทอื่น (Joint venture) รวมทั้งกลยุทธ์ แอสเสท ไลท์ (Asset light) ซึ่งเน้นเปิดโครงการร่วมกับเจ้าของที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ทำให้ประหยัดต้นทุนค่าที่ดินมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งพัฒนาและลงทุนโครงการ ที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income) สามารถรับรู้รายได้เร็ว และรายได้ประจำมากขึ้น โดยในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ จะเปิดให้บริการ ‘วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์’ (One City Centre) อาคารสำนักงานเกรดเอ ระดับลักชัวรี่ที่สูงที่สุดในประเทศไทย บนสุดยอดทำเลใจกลางย่านธุรกิจติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพลินจิต ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้บริษัทฯ มีรายได้ประจำ และกระแสเงินสดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทางโครงการฯ ได้รับผลตอบรับที่ดีมากแม้ยังไม่ได้เปิดทำการเต็มรูปแบบก็ตาม ปัจจุบันมีอัตราการเช่าแล้วกว่า 50% และมีบริษัทชั้นนำมากมายเข้าเซ็นสัญญาแล้ว อาทิ มิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย), มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ (ประเทศไทย), มิตซูบิชิ พาวเวอร์ (ประเทศไทย), มารูเบนิ (ประเทศไทย) และอีกหลากหลายองค์กรดังระดับโลก
นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในรูปแบบ อัลตร้า ลักชัวรี่ แบรนด์เด็ด เรสซิเดนซ์ (Ultra-Luxury Branded Residence) 2 แห่ง โครงการแรกคือ โรสวูด เรสซิเดนซ์เซส กมลา (Rosewood Residences Kamala) จังหวัดภูเก็ต โดยจะพัฒนาในรูปแบบโครงการวิลล่าสุดหรูส่วนตัวเพียงไม่กี่หลัง มูลค่าโครงการรวมกว่า 7 พันล้านบาท และอีกโครงการ ในโซนสุขุมวิท