นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสี “นิปปอนเพนต์” ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ปี 2565 นิปปอนเพนต์มียอดขายสูงสุด เป็นประวัติศาสตร์นับแต่จัดตั้งบริษัทและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยมีอัตราการเติบโตกว่า 30% ถือเป็นการเติบโตในทุกช่องทางทั้งกลุ่มลูกค้า ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ B2B Modern Tarde และ ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมTraditional Trade รวมถึงช่องทาง Online
“ปี 2565 นิปปอนเพนต์สามารถทำยอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์ ถือเป็น New High เพราะเป็นการเติบโตครั้งแรกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นมา ทำให้วันนี้นิปปอนเพนต์มั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกกลุ่มลูกค้าพร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดสีทาบ้านและอาคารของเมืองไทย”
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าในช่วง 2-3 ปีที่มีการระบาดของโควิด19 ทำให้บริษัทต้องชะลอแทนที่จะอยู่ในช่วงของการ Take off แต่บริษัทก็เลือกที่จะรีสกิลและอัพสกิลพนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พร้อมก้าวเดินได้ทันที เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ดังนั้นนับจากครึ่งหลังของปี 2565 จึงเป็นช่วงเวลาที่บริษัทเดินหน้าธุรกิจและประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จนสร้างยอดขายให้สูงเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ยังได้รับเสียงตอบรับจากพันธมิตรคู่ค้าที่ดีต่อเนื่องมาจนปี 2566
“สิ่งที่เราภาคภูมิใจคือลูกค้าในทุกเซ็กเตอร์ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการโครงการ (B2B) ตัวแทนจำหน่าย (Dealer) ต่างยอมรับและมองเห็นถึงศักยภาพของนิปปอนเพนต์ เห็นพัฒนาการที่ดีของทีมงาน ที่มีทักษะความพร้อม ความรู้ และช่วยแก้ปัญหา ให้คำปรึกษา แนะนำ รวมถึงใส่ใจในทุกรายละเอียด ทำให้พร้อมสนับสนุนและผลักดันให้ก้าวหน้าและเติบโต”
ด้านนายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์การทำตลาดของนิปปอนเพนต์ในปี 2566 นี้ บริษัทฯยังคงเน้นเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสีทาบ้านและอาคาร หรือ The Coatings Expert ผ่าน Inspired by you กับแนวคิด “3C” ได้แก่
Customer Centric – ตามปณิธานขององค์กร การยึดความต้องการของลูกค้าเพื่อเข้าใจ แก้ไขและป้องกันปัญหาสี เป็นสิ่งสำคัญ โดยนิปปอนเพนต์ต้องการสร้างความแตกต่าง เพื่อสร้างความประทับใจ การจดจำ และการบอกต่อถึงความเอาใจใส่
Customized Solution – “เพราะความใส่ใจทำให้เราเชี่ยวชาญ” การศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการลูกค้าแต่ละบุคคล แต่ละองค์กรอย่างถ่องแท้ พร้อมนำเสนอ Solution ที่เหมาะสมและตอบโจทย์ผ่านความเชี่ยวชาญที่นิปปอนเพนต์มีเสมอมาอย่างมากที่สุด เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาสี
Concrete Innovation – การเดินหน้าคิดค้น วิจัยและพัฒนาเพื่อนำเสนอนวัตกรรมในทุกผลิตภัณฑ์สีอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสิ่งใหม่ที่สร้างประโยชน์ แก้ปัญหาและป้องกันได้จริง สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
ทั้งนี้บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสร้างการรับรู้ ความเข้าใจถึงความแตกต่างของสินค้าและบริการที่นิปปอนเพนต์มีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มได้เข้าถึง เกิดความมั่นใจและตัดสินใจเลือกใช้นิปปอนเพนต์ ซึ่งมีสินค้าหลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการไม่ว่าจะเป็นสีน้ำ สีน้ำมัน สีรองพื้น สีกันสนิม สีเพื่อสุขภาพ ฯลฯ โดยนำเสนอผ่านแคมเปญต่างๆ ในรูปแบบการตลาดแบบบูรณาการ (Integrated Marketing) เนื่องจากทุกช่องทางการสื่อสารเชื่อมโยงกันและมีการเลือกใช้สื่อที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ในทุกมิติทั้งออนไลน์และออฟไลน์อย่างมีประสิทธิภาพโดยเน้นกลุ่มลูกค้าทั้ง B2C และ B2B
“นิปปอนเพนต์เน้นการสร้าง Engagement กับลูกค้าในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมา ช่างสี ฯลฯ รวมไปถึงโมเดิร์นเทรด หรือดีลเลอร์ และเพื่อรองรับดีมานด์ที่เกิดขึ้นในทุกๆกลุ่ม ในปีนี้จะเห็นการนำเสนอนวัตกรรมออกสู่ตลาดทั้งในกลุ่มสินค้าสีทาพื้น ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 500 ล้านบาทมีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่รายจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก รวมทั้งยังมีแผนนำสินค้าที่เป็นเรือธงออกมาทำตลาดเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย”
นายวัชระ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปี 2566 ถือเป็นปีที่มีความท้าทายอย่างมากสำหรับนิปปอนเพนต์ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น จากปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริโภคในประเทศ และภาคท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาคึกคักขึ้น หลังจีนเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวออกเดินทางท่องเที่ยวได้ ทำให้โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงต่างๆ ต้องปรับปรุงตกแต่งอาคาร ร้านค้า เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา นอกจากนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนยังมีความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย ทำให้คาดการณ์ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง อีกปัจจัยบวกคือการย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในประเทศไทย ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากและการใช้จ่ายที่จะตามมาในอนาคต ขณะที่ปัจจัยลบที่ต้องจับตามองคือ การเลือกตั้ง ซึ่งยังต้องรอดูนโยบายใหม่ของรัฐบาลว่าจะเดินหน้าอย่างไร
“ปีนี้บริษัทยังมีความเชื่อมั่นว่าภาพรวมของเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้นจากภาคการผลิตและภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งนิยมซื้ออาคารสูงในไทยจะส่งผลให้ตลาดอาคารสูงกลับมาคึกคักและเดินหน้าก่อสร้างเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดสีทาบ้านและอาคารกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้นิปปอนเพนต์เองเติบโตตามไปด้วย อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 25% พร้อมกับมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นและกลายเป็นผู้นำตลาดในที่สุด”
สำหรับในปี 2565 ตลาดสีทาบ้านและอาคารมีมูลค่ารวมกว่า 27,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 6% แบ่งออกเป็น ตลาดสีทาบ้านและอาคารที่จำหน่ายผ่านช่องทาง Modern Trade คิดเป็นสัดส่วน 30% มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 12-15% ตลาดสีทาบ้านและอาคารที่จำหน่ายผ่านช่องทาง Traditional Trade คิดเป็นสัดส่วน 50% มีการเติบโตแบบทรงตัว และตลาดสีทาบ้านและอาคารที่จำหน่ายตรง (Direct Sale) คิดเป็นสัดส่วน 20% มีการเติบโต 8-10% ขณะที่ในปี 2566 คาดว่าตลาดสีทาบ้านและอาคารจะเติบโตราว 10% ส่งผลให้มีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 30,000 ล้านบาท ในขณะที่นิปปอนเพนต์ตั้งเป้าเติบโตที่ 25 %