นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.06 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 34.16 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในกรอบ 33.93-34.18 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาผสมผสาน โดยล่าสุด ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 50.3 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาด (ดัชนี เกิน 50 จุด สะท้อนถึงภาวะขยายตัว) ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง หรือ 75bps ในปีนี้ และลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง หรือ 25bps ในปีหน้า (Fully priced-in) นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากการรีบาวด์ขึ้นของเงินยูโร (EUR) หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อแนวโน้มการเดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ กอปรกับภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังได้หนุนความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้ง ทองคำ และเงินเยนญี่ปุ่น โดยการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ และการกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (เพิ่มแรงกดดันต่อเงินดอลลาร์) ก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลง ตามการอ่อนค่าลงของเงินหยวนจีน หลังสหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมกับจีนอีก 10%
บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางแรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Nvidia -8.7% นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เตรียมจะขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา จีน และยุโรป ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.64% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.76%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +1.07% แม้ว่าโดยรวมตลาดหุ้นยุโรปจะถูกกดดันบ้างจากความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มการบินและอุตสาหกรรมทางทหาร อาทิ BAE Systems +14.6% หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า บรรดาประเทศในยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมชัดเจน เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต
ในส่วนตลาดบอนด์ บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน จนทำให้ผู้เล่นในตลาดต่าง “Fully Priced-In” ว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1 ครั้ง ในปีหน้า ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลงสู่ระดับ 4.13% อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว มากกว่าไล่ราคาซื้อ เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่อาจปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง กดดันโดยมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน ขณะเดียวกัน การรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก ทั้ง เงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็มีส่วนกดดันเงินดอลลาร์เพิ่มเติม ส่งผลให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวลง สู่โซน 106.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.7-107.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน รวมถึงความต้องการถือทองคำเพื่อรับมือความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อีกทั้งการปรับตัวลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) ปรับตัวขึ้นสู่แถวโซน 2,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอาจมีไม่มากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก จากทั้งฝั่งเฟด และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้งเฟดและ BOJ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนของการเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากจีน เม็กซิโกและแคนาดา รวมถึงความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจากยุโรปด้วยเช่นกัน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา ยังคงสะท้อนให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำมีผลต่อทิศทางเงินบาทด้วยเช่นกัน และเป็นอีกปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ในการประเมินแนวโน้มเงินบาท ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่การอ่อนค่าอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป หากราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน และความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เรามีความกังวลว่า ณ ปัจจุบัน ผู้เล่นในตลาดได้ “รับรู้และคาดหวัง” ว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 1 ครั้ง ในปีหน้า ไปเต็มที่แล้ว (Fully Priced-In) ทำให้มีความเสี่ยงที่ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงานออกมาดีกว่าคาด หรือบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดย้ำจุดยืน ไม่รีบลดดอกเบี้ย ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองการลดดอกเบี้ยของเฟดดังกล่าว จนหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ นอกจากนี้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่หนุนเงินดอลลาร์ ได้เช่นกัน ซึ่งในส่วนของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ นั้น การเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากจีนล่าสุด ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินหยวนจีนทยอยอ่อนค่าลงได้ โดยภาพดังกล่าวก็อาจเป็นปัจจัยกดดันบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย
อนึ่ง แม้ว่าเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าลงบ้าง แต่ในระยะสั้น เงินบาทอาจพอมีโซนแนวต้านแถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังคงอยู่ในช่วง 33.90-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราประเมินว่า บรรดาผู้นำเข้าบางส่วนอาจรอจังหวะเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นในการทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์บ้าง อีกทั้ง อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรมน้ำมันเช่นกัน หลังล่าสุดราคาน้ำมันดิบได้ทยอยปรับตัวลดลง จากความกังวลแนวโน้มการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.95-34.25 บาท/ดอลลาร์