นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.77 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.73 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 33.65-33.86 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 33.80-33.90 บาทต่อดอลลาร์ ตามการปรับตัวลงหนักของราคาทองคำ (XAUUSD) ราว -40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ -1.4% หลังผู้เล่นในตลาดต่างเทขายทำกำไรทองคำอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าโดยรวมเงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลงมาก็ตาม ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำที่กลับมาทรงตัวเหนือโซน 2,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ขณะเดียวกันเงินดอลลาร์ก็ยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงถูกกดดันจากแรงขายบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ นำโดย Tesla -8.4% และ Nvidia -2.8% ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและกลุ่ม Healthcare อาทิ Walmart +4.3%, Eli Lilly +2.3% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ลดลง -1.35% ส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.47%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.15% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ ASML -2.2% เช่นเดียวกับในฝั่งสหรัฐฯ แต่ตลาดหุ้นยุโรปก็พอได้อานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่ม Healthcare รวมถึง หุ้นในกลุ่มการบินและทหาร อย่าง BAE +4.7% หลังรัฐบาลอังกฤษประกาศเพิ่มงบด้านกลาโหม
ในส่วนตลาดบอนด์ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มองว่า เฟดมีโอกาสราว 32% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลงสู่ระดับ 4.28% อย่างไรก็ดี เรายังคงกังวลว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสรีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง ซึ่งต้องติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้ ทำให้เราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยไม่ไล่ราคาจนเกินไป เพื่อให้ได้ Risk-Reward ของการถือครองบอนด์ระยะยาวที่น่าสนใจ
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง กดดันโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน จนทำให้ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 32% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวลงสู่โซน 106.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.2-106.7 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) ก็เผชิญแรงขายทำกำไรจากบรรดาผู้เล่นในตลาดพอสมควร กดดันให้ ราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลงเกิน -1% ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง กลับสู่โซน 2,930-2,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 14.00 น. โดยเราประเมินว่า กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.25% ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับพัฒนาการของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรจับตา ผลโหวตของคณะกรรมการ กนง. อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่มติการประชุมในครั้งนี้ อาจ “ไม่เป็นเอกฉันท์” โดยอาจมีคณะกรรมการบางส่วน เห็นควรให้ลดดอกเบี้ยลง 25bps สู่ระดับ 2.00% ซึ่งผลโหวตดังกล่าว รวมถึงมุมมองของ กนง. ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทและตลาดบอนด์ไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 32% ที่จะสามารถลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง หรือ 75bps ได้ในปีนี้ และลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีหน้า
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงที่จะเผชิญความผันผวนลักษณะ Two-Way Volatility โดยปัจจัยที่สามารถทำให้เงินบาทผันผวนได้พอสมควรในช่วงนี้ คือ ทิศทางราคาทองคำ ดังจะเห็นได้จากช่วงคืนที่ผ่านมา ที่แม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลง ซึ่งควรจะหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ทว่า เมื่อราคาทองคำปรับตัวลดลงหนัก ก็สามารถกดดันให้เงินบาททยอยอ่อนค่าลงได้ไม่ยาก โดยภาพดังกล่าวก็สอดคล้องกับการศึกษาความสัมพันธ์ของเงินดอลลาร์-เงินบาท-ราคาทองคำ ของเรา เมื่อใช้ข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2015 นอกจากนี้ ผลการศึกษาของนักวิเคราะห์ต่างชาติก็พบว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดโดยเฉพาะกลุ่ม Systematic Trading ก็เริ่มมีการใช้ปัจจัยราคาทองคำ ในการประเมินแนวโน้มเงินบาท
ทั้งนี้ เรามองว่า ในระยะสั้น หากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นเทคฯ ซึ่งถือว่า เป็น The Most Crowded Trades ของปีนี้ ก็อาจทำให้มีฟันด์โฟลว์ทยอยไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้บ้าง จนอาจกดดันเงินดอลลาร์ได้ในช่วงนี้ จนกว่าจะเห็นการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีขึ้นชัดเจน หรือผู้เล่นในตลาดยังคงกลับเข้าลงทุนในหุ้นเทคฯ หรือตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่อ
ในช่วงระหว่างวันนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง. ของไทย โดยสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาทเสี่ยงผันผวนเกือบ +/-0.20% ได้ในช่วง 30 นาที หลังทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง. ซึ่งเรามองว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง หาก กนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ย และเงินบาทอาจอ่อนค่าได้พอสมควร หาก กนง. “ลดดอกเบี้ย เซอร์ไพรส์ตลาด”
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.90 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง.)