นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ 33.64 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 33.60-33.90 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นธีม AI/Semiconductor ท่ามกลางความกังวล AI จากจีน DeepSeek-R1 ที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนการใช้งานต่ำ เมื่อเทียบกับ AI จากฝั่งสหรัฐฯ นอกจากนี้ ในช่วงเช้า เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าโดยรัฐบาล Trump 2.0 กดดันให้บรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) พลิกกลับมาอ่อนค่าลง และนอกเหนือจากการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ในช่วงคืนที่ผ่านมา
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันโดยแรงเทขายหุ้นเทคฯ ใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Nvidia -17% ท่ามกลางความกังวล AI จากจีน “DeepSeek-R1” ที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนการใช้งานต่ำกว่า AI จากฝั่งสหรัฐฯ อย่าง ChatGPT อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการเข้าซื้อหุ้นธีม Defensive อาทิ กลุ่ม Healthcare และสินค้าอุปโภคบริโภค ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -3.07% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.46%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 เคลื่อนไหวผันผวนและปิดตลาด -0.07% ท่ามกลางแรงกดดันจากการปรับตัวลงหนักของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ อาทิ ASML -7.0% ทว่าตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อาทิ LVMH +2.8% ท่ามกลางความหวังแนวโน้มการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยรวมเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ทว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็สามารถทยอยรีบาวด์กลับสู่ระดับ 4.55% หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่แน่ใจว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ตามที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนสูง ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งต้องติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 20 อย่างใกล้ชิด ทำให้เราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดก็สามารถทยอยซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip และไม่ไล่ราคาซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจ)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up ท่ามกลางความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวนหนัก และแรงหนุนจากการปรับตัวลงของบรรดาสกุลเงินหลัก อาทิ เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) จากความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยสู่โซน 107.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 107-107.5 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แรงขายทำกำไรทองคำ รวมถึงจังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) พลิกกลับมาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สู่โซน 2,770 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม รวมถึงรายงานยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ในเดือนธันวาคม เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการปรับนโยบายการเงินของเฟด
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าเงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงหนักในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่ เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้น หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อประเมินตามกลยุทธ์ Trend Following ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้กลับมาอ่อนค่าลงชัดเจน เหนือโซนแนวต้าน 34.20 บาทต่อดอลลาร์
ส่วนในช่วงระหว่างวันนี้ เรามองว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงบ้าง ทดสอบโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ หลังในช่วงเช้าที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้า อาทิ ชิปคอมพิวเตอร์, Semiconductor และแร่โลหะ เป็นต้น ส่งผลให้บรรดาสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ส่วนในฝั่งเอเชีย เงินหยวนจีน Offshore (CNH) ก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลงพอสมควรเช่นกัน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินหยวนจีน Offshore (30-Day Correlation) กว่า 76% ทำให้ต้องจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีนในช่วงนี้ด้วยเช่นกัน
และนอกเหนือจากทิศทางการเคลื่อนไหวของบรรดาสกุลเงินหลัก และเงินหยวนจีน เรามองว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินบาทก็จะขึ้นกับทิศทางราคาทองคำ รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติในตลาดทุนไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งในกรณีที่เงินบาทสามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้างนั้น เรามองว่า เงินบาทก็อาจติดอยู่แถวโซนแนวรับ 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อนได้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งคาดว่า ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมเฟดและธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสฯ ที่จะถึงนี้
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.70-34.00 บาท/ดอลลาร์