นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น เล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.91 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.77-33.95 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังบรรดาสกุลเงินหลักต่างทยอยแข็งค่าขึ้น อาทิ เงินยูโร (EUR) จากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนมีนาคมที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 86.7 จุด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board เดือนมีนาคม ที่ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 92.9 จุด แย่กว่าคาด ท่ามกลางความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง หนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) รีบาวด์แข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ กดดันให้ตลาดหุ้นยุโรปย่อตัวลงบ้าง สอดคล้องกับการอ่อนค่าลงของเงินยูโร ขณะเดียวกัน เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากการปรับตัวลงของราคาทองคำ (XAUUSD) และแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดแถวโซนแนวรับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แม้ว่าการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทว่า รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board ล่าสุดที่ลดลงต่อเนื่องและออกมาแย่กว่าคาด ก็เป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Tesla +3.5%, Alphabet +1.7% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.46% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.16%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.67% หนุนโดยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) ล่าสุด ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงขายทำกำไรจากบรรดาผู้เล่นในตลาดลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
ในส่วนตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน และการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ ท่ามกลางความหวังการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่อาจมีความคืบหน้ามากขึ้น ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงสู่โซน 4.30% ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง สู่โซน 4.33% ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ระยะยาวของสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจอยู่ ตราบใดที่เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้อย่างน้อยตาม Dot Plot ล่าสุด ทำให้เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดสามารถรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว ในช่วงที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้ (เน้นรอ Buy on Dip)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้างในลักษณะ Sideways Down โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จากรายงานข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ โดย Conference Board กลับปรับตัวลดลง แย่กว่าคาด อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ และท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งต่างสนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ย่อตัวลงสู่โซน 104.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.9-104.3 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีจังหวะปรับตัวลดลงบ้าง ทว่า ปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่มีความหวังการเจรจาหยุดยิงกลับมาอีกครั้ง ก็มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ย่อตัวลงบ้าง และแกว่งตัวแถวโซน 3,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์ข้อมูลเศรษฐกิจจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะใช้ประกอบการประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOE มีโอกาสราว 66% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ หลังจากได้ลดดอกเบี้ยไปแล้ว 1 ครั้ง 25bps ในช่วงต้นปี
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจ อาทิ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ในเดือนกุมภาพันธ์ รวมถึงการปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ โดย เฟด สาขา Atlanta (GDPNow) พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานยอดสต็อกน้ำมันคงคลังของสหรัฐฯ โดย EIA ซึ่งอาจกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่า เงินบาท (USDTHB) จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงแบบค่อยเป็นค่อยไป หรืออาจกล่าวได้ว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในลักษณะ Sideways Up หลังเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดก็รอทยอยขายทำกำไรสถานะ Long EUR (มองเงินยูโรแข็งค่าขึ้น) หลังตลาดได้ทยอยรับรู้ปัจจัยสนับสนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโรไปพอสมควรแล้ว และที่สำคัญ เรายังคงกังวลว่า ราคาทองคำยังเสี่ยงอยู่ในช่วงการพักฐาน เนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยในส่วนของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง สงครามรัสเซีย-ยูเครน นั้น ก็ดูจะลดความร้อนแรงลงไปได้บ้าง หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงในพื้นที่ทะเลดำ และข้อตกลงห้ามโจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลังงานกับทั้งฝั่งรัสเซียและยูเครน
แต่หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นบ้าง การแข็งค่าขึ้นก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดและอาจชะลอลงแถวโซนแนวรับ 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงซื้อเงินดอลลาร์จากผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งผู้นำเข้า เนื่องจากเป็นช่วงปลายเดือน ขณะเดียวกัน การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจค่อยเป็นค่อยไป โดยยังมีโซนแนวต้านแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ชัดเจน จะสะท้อนว่า เงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์