บิ๊กอสังหาฯ เมืองพัทยา “ออเนอร์ กรุ๊ป” เดินหน้าลุยลงทุนสร้างอาณาจักร First Iconic Mixed-Use in North Pattaya สร้างจุดต่างใจกลางเมืองพัทยา พร้อมขยายการลงทุนสู่แนวราบประเภท พูลวิลล่า บริเวณนาจอมเทียน ซอย 2 รับแผนบูมลงทุนในพื้นที่ EEC ของรัฐบาลแบบเต็มสูบ จับตา! โครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ บนที่ดิน ส.ป.ก. ที่ตำบลห้วยใหญ่ เนื้อที่กว่า 1.4 หมื่นไร่ จับตามาตรการการให้สิทธิต่างชาติที่นำเงินมาลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท และคงการลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปี ได้สิทธิถือครองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ไม่เกิน 1 ไร่ ดันเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัว
“พัทยา” จังหวัดชลบุรี เป็นเมืองที่มีจุดเด่นด้านการท่องเที่ยวและเป็นเมืองอุตสาหกรรมหนึ่งในสามจังหวัดยุทธศาสตร์หลักที่รัฐบาลบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC : Eastern Economic Corridor) และได้ทุ่มเงินงบประมาณเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั้งทางอากาศ ทางราง ทางน้ำ และทางบก เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อและมีประสิทธิภาพ สู่เป้าหมายให้พื้นที่ EEC เป็นประตูเศรษฐกิจเชื่อมไทยสู่ทวีปเอเชีย ทำให้พื้นที่เมืองพัทยายังคงเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยว นักลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยวและลงทุนอย่างต่อเนื่อง
นายคริส เชิดสุริยา ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัท ออเนอร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในพัทยามากว่า 20 ปี เปิดเผยว่า ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมาที่เกิดการระบาดโควิด-19 และได้ล็อกดาวน์ประเทศยอมรับส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจต่างๆค่อนข้างมากทั้งภาคการท่องเที่ยว รวมถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้ค่อยๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่มีการเปิดประเทศมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ซึ่งนอกจากนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวไทยแล้ว ยังมีชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย ร้านค้า ร้านอาหารเปิดให้บริการได้ตามปกติ รวมถึงการจองห้องพักในโรงแรมต่างๆ ก็มีมากขึ้นด้วยเมื่อเทียบกับช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ คาดว่าตลอดทั้งปี 2565 นี้จะมีนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในไทยราว 6 ล้านคน คาดจะสร้างรายได้ 6 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2563 และคาดการณ์ปลายปี 2565 ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและยอดรายได้ที่เกิดจากนักท่องเที่ยวน่าจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 90% ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19
“ผมมองว่าเราผ่านจุดต่ำสุดแล้ว หลายๆ ธุรกิจเริ่มกลับมา อสังหาฯ หลายโครงการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้เทศกาลและกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว ถูกจัดขึ้นตลอดทุกสัปดาห์ รวมทั้งผู้ประกอบการทุกระดับตื่นตัวเพื่อรองรับลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ” นายคริส กล่าว
พร้อมกันนี้นายคริส ยังกล่าวให้ความเห็นอีกว่า ส่วนตัวยังมองทำเล พัทยา ชลบุรี จะยังคงมีการเติบโตด้านการลงทุนและตลาดอสังหาฯ เพราะผู้ประกอบการยังเชื่อมั่นในศักยภาพของทำเลที่มีความพร้อมในหลายๆ ด้าน และการที่รัฐบาลให้ความสำคัญยกระดับให้ชลบุรีซึ่งเป็นหนึ่งในสามจังหวัดพื้นที่ EEC เป็นต้นแบบพัฒนาเชิงพื้นที่ยุทธศาสตร์ ประกอบกับได้มีนโยบายการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ หลายโครงการมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) ซึ่งปัจจุบันได้มีการส่งมอบพื้นที่ไปแล้ว 100% สำหรับใช้ก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการท่าเทียบเรือแหลมฉบัง และโครงการสนามบินอู่ตะเภา ฯลฯ รวมถึงโครงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเมืองพัทยา เช่น โครงการรถไฟรางเบา (โมโนเรล) เพื่อบริการรับส่งผู้โดยสารที่เดินทางมาด้วยรถไฟความเร็วสูงให้เข้าสู่พื้นที่ของเมืองพัทยา และโครงการ NEO PATTAYA ยกระดับเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว EEC สร้างรายได้ชุมชนยั่งยืน ปัจจัยบวกเหล่านี้จะสนับสนุนให้พัทยา ชลบุรีไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยว แต่จะกลายเป็น “เมืองท่า” สำคัญของกรุงเทพฯ เทียบได้กับโตเกียวที่มี “โอซาก้า” เป็นเมืองท่า
นอกจากนี้ ยังมีแม็กเน็ตใหม่ที่ดึงดูดกำลังซื้อและนักลงทุนเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยนั่นคือ มาตรการที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดิน ที่จะออกกฎกระทรวงมหาดไทยเพิ่มเติม เรื่องการให้สิทธิคนต่างด้าว (ต่างชาติ) ที่นำเงินมาลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาทและคงการลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปี จะได้สิทธิถือครองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ไม่เกิน 1 ไร่ รวมถึงโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ล่าสุดมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เข้าไปใช้ประโยชน์ที่ดิน ส.ป.ก.จำนวนกว่า 14,000 ไร่ ในท้องที่ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เพื่อพัฒนาโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ ใช้เงินลงทุนประมาณ 1.34 ล้านล้านบาท เกิดการจ้างงานใหม่ไม่น้อยกว่า 200,000 ตำแหน่ง มีระยะเวลาการพัฒนา 10 ปี (ปี 2566-2575)
“มาตรการและโครงการลงทุนพัฒนาต่างๆ เกิดจากนโยบายของภาครัฐบาล จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัว” นายคริส กล่าวพร้อมกับระบุว่า นอกจากโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาและดำเนินการด้านการตลาดและขายอยู่ในปัจจุบัน ทางบริษัทออเนอร์ กรุ๊ป มีแผนที่จะขยายการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวสูงและแนวราบประเภท พูลวิลล่า เพิ่มเพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดผู้บริโภคให้ครบทุกเซ็กเมนต์ เพราะมั่นใจว่าตลาดที่อยู่อาศัยยังมีดีมานด์ ทั้งซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังแรก เป็นบ้านหลังที่สอง โดยเฉพาะในยุคเงินเฟ้อที่แนวโน้มพุ่งสูงขึ้น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งของกลุ่มนักลงทุน ได้ผลตอบแทนในระดับ 5-6% ขึ้นไป
ด้านนางสาวธิดา เชิดสุริยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือออเนอร์ กรุ๊ป ผู้พัฒนาโครงการกล่าวว่า แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะเผชิญกับวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่บริษัทฯ ก็ไม่หยุดงานของโครงการฯ ซึ่งก่อสร้างบนที่ดินกว่า 4.5 ไร่ ติดถนนพัทยาสาย 3 ประกอบด้วยโรงแรม ร้านค้า และคอนโดมิเนียม รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นกว่า 3,500 ล้านบาท
โดยคอนโดมิเนียมพัฒนาภายใต้ชื่อ วันส์ พัทยา ONCE PATTAYA เป็นอาคารสูง 32 ชั้น จำนวนห้องพักอาศัยรวม 427 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 28.4-201 ตารางเมตร (ตร.ม.) ตามเอกสารขาย/ราคาเฉลี่ย 140,000 บาท ต่อ ตร.ม. รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ปัจจุบันคอนโดมิเนียม ONCE PATTAYA มียอดขายแล้วประมาณ 70% ซึ่งก็มีทั้งลูกค้าที่เป็นคนไทยและชาวต่างชาติ ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นบ้านหลังที่ 2 และซื้อเพื่อการลงทุน ซึ่งทางโครงการยังได้บัตรสมาชิก “Thailand Elite” ของบริษัทไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) รับสิทธิพิเศษของ Privilege Elite Visa สามารถอยู่อาศัยระยะยาวแบบ Long Stay Visa ในเมืองไทยได้นานถึง 20 ปี และขณะนี้ทางโครงการได้จัดโปรโมชั่น Guarantee Yield 6% นาน 3 ปี ด้วยเช่นกัน หากลูกค้าสนใจสามารถเข้าไปชมรายละเอียดโครงการได้ที่ www.honourthailand.com หรือ โทรสอบถามได้ที่เบอร์โทร. 061-653-6599
สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างคอนโดมิเนียม ONCE PATTAYA นั้นงานด้านโครงสร้างดำเนินงานไปแล้ว 99%, งานด้านสถาปัตย์อยู่ที่ 70% และงานวางระบบต่างๆ อยู่ที่ 90% สรุปโดยรวมแล้วงานก่อสร้าง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 ดำเนินงานไปแล้วอยู่ที่ 80% คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมโอนให้ลูกค้าเข้าอยู่ได้ตามแผนภายในต้นปี 2566
พร้อมกันนี้ นางสาวธิดา ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในส่วนที่เป็นโรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ พัทยา ซิตี้ (HILTON GARDEN INN PATTAYA CITY) ขณะนี้ได้ผ่านรับมติเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้วและได้เริ่มงานก่อสร้างในส่วนที่เป็นฐานรากแล้ว มีมูลค่าก่อสร้างประมาณ 1,500 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 29 ชั้น ขนาด 300 ห้อง พร้อมร้านค้าปลีก 6 ร้าน ขนาดพื้นที่รวม 28,000 ตร.ม. กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2567
“ฮิลตัน เป็นแบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาเป็น 100 ปี มาบริหารแบบ Full Management ที่มีระบบบริหารจัดการมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกถือเป็นการสร้างอาณาจักร First Iconic Mixed-Use in North Pattaya อย่างสมบูรณ์แห่งเมืองพัทยา” นางสาวธิดา กล่าวพร้อมกับระบุว่าทั้งสองโครงการ คือ โรงแรม HILTON GARDEN INN PATTAYA CITY และคอนโดมิเนียม ONCE PATTAYA นี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่พร้อมบริการลูกค้าผู้บริโภคประกอบกับโครงการตั้งอยู่ในทำเลทองจะส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของเมืองในย่านพัทยาเหนือ และส่งเสริมเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มีการเติบโต
พร้อมกันนี้ นางสาวธิดา ยังกล่าวในตอนท้ายว่า ระหว่างที่ดำเนินการก่อสร้างคอนโดมิเนียม ONCE PATTAYA บริษัทฯ คัดสรรวัสดุก่อสร้าง นวัตกรรมใหม่เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตกับลูกบ้าน อาทิ ผนังห้องที่มีความหนา 15 เซนติเมตร (ซม.) กระจกนิรภัยหนา 12 ซม. อีกทั้งยังได้ใส่ใจในทุกรายละเอียดสูงมาก เพื่อความปลอดภัยการใช้ชีวิตของลูกค้าผู้บริโภคในยุค New Normal ด้วยการออกแบบนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ลดการสัมผัสให้มากที่สุด เช่น ใช้ระบบสแกนใบหน้าสำหรับเข้า-ออก อาคาร, ใช้ระบบสแกนทะเบียนรถในการเข้า-ออกโครงการ, พื้นที่จอดรถออกแบบระบบเพื่อการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า, น้ำประปาที่ใช้ในอาคารจะถูกกรองให้สะอาดอีกขั้นตอนหนึ่งเพื่อให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้น ระบบคิวอาร์โค้ดให้ผู้มาติดต่อเพื่อความสะดวกแก่ลูกบ้าน รวมไปถึงหลังจากวิกฤตโควิค-19 เกิดขึ้นเราได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ เราจึงออกแบบประตูทางเข้าทุกอย่างเป็นระบบ Touchless มีเซ็นเซอร์ เปิดประตูอัตโนมัติโดยไม่ต้องสัมผัสที่จับเลย