กลุ่มดุสิตธานี เตรียมความพร้อมในการเปิดให้บริการ “โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ” แห่งใหม่ ในปี 2567 จัดโครงสร้างบริหารด้วยการแต่งตั้ง “มร.เอเดรียน รูดิน” ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ พร้อมดูแลโครงการ “ดุสิต เรสซิเดนซ์” ที่พักระดับอัลตร้า ลักซูรี ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 2 แห่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” โครงการพัฒนาที่ดินแบบมิกซ์ยูสใจกลางกรุงเทพฯ มั่นใจประสบการณ์และความสามารถในการบริหารจะขับเคลื่อนให้ทั้งโรงแรมและเรสซิเดนซ์ ภายใต้แบรนด์ “ดุสิตธานี” เป็นแบรนด์ของคนไทยที่โดดเด่นในระดับสากล ต่อยอดวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง
กลุ่มดุสิตธานี ประกาศแต่งตั้ง มร. เอเดรียน รูดิน ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ และดุสิต เรสซิเดนซ์ แห่งใหม่ของกลุ่มดุสิตธานี ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดและมีกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี 2567 รวมถึง “ดุสิต เรสซิเดนซ์” ที่พักระดับลักซ์ชูรี ซึ่งคาดว่า อสังหาริมทรัพย์ทั้ง 2 แห่งนี้จะได้การตอบรับเป็นอย่างดีหลังเริ่มให้บริการ โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพัฒนาอาคาร ณ พื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ตรงข้ามสวนลุมพินี ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งเดิม สำหรับอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 2 แห่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” โครงการพัฒนาที่ดินแบบมิกซ์ยูส ซึ่งจะมีทั้งอาคารสำนักงานล้ำสมัย ห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ และสวนสาธารณะบนชั้นดาดฟ้ารวมอยู่ด้วย
ด้าน มร.เอเดรียน รูดิน กรรมการผู้จัดการ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ และดุสิต เรสซิเดนซ์ เปิดเผยว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาบริหารอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของกลุ่มดุสิตธานี โดยมั่นใจว่าด้วยประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา กับความสามารถของทีมงาน จะสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้าของกลุ่มดุสิตธานี โดยเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การเดินหน้ารักษามาตรฐานการบริการให้อยู่ในระดับสูงแบบไร้ที่ติ สร้างการจดจำให้กับผู้ใช้บริการ และต่อยอดวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งที่ต้องการให้แบรนด์ของคนไทยโดดเด่นในระดับสากล
ทั้งนี้ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่ มีกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี 2567 โดยนำเสนอการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบใหม่ให้ร่วมสมัยยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์งานบริการอย่างไทยในแบบดุสิตธานี สานต่อตำนานที่เคยเป็นตึกที่ใหญ่และสูงที่สุดของประเทศไทยในปี 2513 และยังได้รับการขนานนามว่า มีห้องบอลรูมอันหรูหราที่สุดของกรุงเทพฯ อีกด้วย เพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงเรื่องราวอันมีคุณค่าเหล่านี้ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ โฉมใหม่ จึงได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อยกระดับจุดยืนของกลุ่มดุสิตธานีบนเวทีโลก สร้างนิยามแห่งการพักผ่อนรูปแบบใหม่ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น
โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่มีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมดรวม 49 ชั้น ตัวอาคารยังประดับด้วยยอดแหลมสีทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เดิม โดยที่นี่จะเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักเดินทางที่มีความต้องการอันหลากหลาย เพราะนำเสนอทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาหารอร่อย การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเรื่องการจัดงานในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะในห้องบอลรูมโฉมใหม่ที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของสวนลุมพินีได้แบบ 180 องศาสำหรับห้องพัก และห้องสวีททั้ง 257 ห้องจะได้รับการออกแบบอย่างประณีตเช่นกัน และสามารถมองเห็นสีเขียวอันน่าสดชื่นจากสวนสาธารณะใจกลางกรุงเทพฯ ได้จากห้องอีกด้วย
สำหรับ ดุสิต เรสซิเดนซ์ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันนั้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะต่อยอดมรดกอันยาวนานของดุสิตธานี ทำให้การนำเสนอเน้นการผสมผสานความหรูหราอย่างไร้รอยต่อที่ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญาของแบรนด์อันเป็นเอกลักษณ์ของดุสิตธานีในเรื่องการต้อนรับแบบไทยอย่างสง่างาม รวมถึงความสะดวกสบายสำหรับผู้พักอาศัย โดยจะพร้อมเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2569
ขณะที่ มร.เอเดรียน รูดิน เป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ มีประสบการณ์ในการทำงานที่โรงแรมระดับลักซ์ชูรีมานานกว่า 30 ปี เคยดำรงตำแหน่งสำคัญมาแล้วมากมาย ได้แก่ ผู้จัดการโรงแรมของแชงกรี-ลา สิงคโปร์ ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรม เทรดเดอร์ส สิงคโปร์ และผู้จัดการทั่วไปในช่วงเปิดดำเนินการของโรงแรมแชงกรี-ลา ทั้งในอาบูดาบี และปักกิ่ง โดยก่อนที่จะมาร่วมงานกับกลุ่มดุสิตธานี เขาได้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพ และรองประธานฝ่ายปฏิบัติการ ประเทศจีน และทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของเครือเคมปินสกี้ ซึ่ง มร. รูดิน สามารถบริหารจัดการการดำเนินงานของโรงแรมเคมปินสกี้ และโรงแรม NUO รวม 25 แห่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคอยสนับสนุนการเปิดดำเนินการโรงแรมใหม่อีกหลายแห่ง และจากการแต่งตั้งให้ มร. รูดิน ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ และดุสิต เรสซิเดนซ์ เขาจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดความสำเร็จของอสังหาริมทรัพย์ใหม่ทั้ง 2 แห่งนี้ รวมถึงช่วยรักษาเสถียรภาพของธุรกิจไมซ์ในอนาคตก่อนการเปิดตัวครั้งใหญ่ของโรงแรมในปีหน้า