ตลาดเครื่องสำอางเดือด COSMAX หรือ บริษัท ซีโอเอสเอ็มเอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำด้านการผลิตสินค้าความงามระดับโลกมากกว่า 600 แบรนด์ จากประเทศเกาหลี ทุ่มงบประมาณกว่า 1,500 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเครื่องสำอาง OEM/ODM ระดับโลกในประเทศไทย ด้วยพื้นที่กว่า 35,995 ตารางเมตร สามารถเพิ่มกำลังการผลิตถึง 3 เท่า มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีการผลิตเครื่องสำอางที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางทั้งในประเทศและทั่วโลก
นายมินกู คัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอเอสเอ็มเอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ COSMAX เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมความงามทั้งในไทยและทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น นอกจากนี้ผู้บริโภคยังได้รับอิทธิพลของ Social Media ที่กระตุ้นให้ผู้คนใส่ใจในเรื่องความสวยความงามและบุคลิกภาพมากขึ้น โดยข้อมูลจาก Euromonitor คาดการณ์ว่าในปี 2025 ตลาด Beauty and Personal Care ในประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 3.03 แสนล้านบาท ดังนั้นการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ของ COSMAX จึงเป็นหมุดหมายสำคัญในการยกระดับศักยภาพการผลิต เพื่อรองรับตลาดเครื่องสำอางที่เติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมความงามของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในเวทีสากล และส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตสินค้าความงาม OEM/ODM ของอาเซียน
ในปีที่ผ่านมา COSMAX มีอัตราการเติบโต 65.4% และเติบโตเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี 16.1% ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ COSMAX ประสบความสำเร็จ และเติบโตอย่างต่อเนื่องคือ ความนิยมในการใช้เครื่องสำอางที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ตลาดเครื่องสำอางขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาด ไม่ว่าจะเป็น Influencers ที่สร้างแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง หรือแม้กระทั่งแบรนด์เครื่องสำอางน้องใหม่ ที่ก้าวเข้าลงทุนและแข่งขันในตลาดนี้ แม้จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้นแต่ COSMAX ยังสามารถเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นคง ด้วยกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ โดยมีการใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการผลิต ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
สำหรับก่อสร้างโรงงานใหม่ COSMAX Thailand ได้ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท บนพื้นที่รวมกว่า 35,995 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นพื้นที่คลังสินค้า 5,560 ตารางเมตร และพื้นที่ฝ่ายการผลิต 30,435 ตารางเมตร ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากเดิม คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในปี 2569 และการก่อสร้างโรงงานครั้งนี้มีบทบาทสำคัญในการรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตลาดในประเทศ และต่างประเทศที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
นายมินกู คัง กล่าวต่อไปว่า นับเป็นก้าวสำคัญของ COSMAX Thailand เพื่อขยายกำลังการผลิตครอบคลุมในทุกเซกเม้นต์ เครื่องสำอาง Makeup ประเภทต่างๆ สกินแคร์ น้ำหอม และผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย รองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยโรงงานแห่งใหม่นี้จะนำเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ทันสมัยมาใช้ภายในโรงงาน เช่น ระบบ Real Time Management และ SAP รวมถึงหุ่นยนต์และ AGV (Automated Guided Vehicle) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานของมนุษย์
นอกจากนี้ยังมีมาตรการควบคุมคุณภาพระดับสากล เช่น ISO 22716, ISO 9001, ISO 14001 และการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ เช่น FDA, Halal และ Vegan certification เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่ออกจากโรงงานมีคุณภาพสูงและปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค
COSMAX Thailand ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยโรงงานแห่งใหม่ติดตั้งระบบระบายอากาศเฉพาะจุดที่มีตัวกรองคาร์บอนเพื่อลดสาร VOCs รวมถึงมีระบบบำบัดน้ำเสียอัจฉริยะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้บริษัทยังใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น แผงโซลาร์เซลล์ และระบบไฟ LED พร้อมเซ็นเซอร์อัจฉริยะเพื่อลดการใช้พลังงาน รวมถึงการให้ความสำคัญกับแนวทาง Zero Water Waste โดยนำน้ำเสียจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ และส่งเสริมการรีไซเคิลขยะเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งดำเนินนโยบายด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance) อย่างเข้มข้นเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจอีกด้วย
นายมินกู คัง กล่าวอีกว่า นอกจากการใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนแล้ว เรามุ่งมั่นการตอบแทนให้แก่สังคม ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาในชุมชน เช่น การพัฒนาทักษะและการสร้างงาน ส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงานในชุมชนรอบๆ พื้นที่โรงงาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น การดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน รวมถึงสวัสดิการและความปลอดภัยในการทำงาน
การเปิดโรงงานผลิตเครื่องสำอางแห่งใหม่ของ COSMAX Thailand ยังส่งผลสำคัญด้าน เศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยเพิ่มตำแหน่งงานกว่า 400 ตำแหน่ง พร้อมส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่นผ่านการซื้อวัตถุดิบจาก ผู้ผลิตในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น การขยายกำลังการผลิตครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วย รองรับตลาดความงามที่เติบโต แต่ยังเป็นการวางรากฐานให้กับผู้ที่ต้องการผลิตเครื่องสำอางแบรนด์ตัวเองอย่างยั่งยืน พร้อมตอบโจทย์ เทรนด์เครื่องสำอาง 2025 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ