วันพฤหัสบดี ที่ 28 พฤศจิกายน 2567 05:53น.

“เซ็นทรัลพัฒนา” โชว์วิสัยทัศน์บนเวที ‘Global Trend Summit Bangkok’

5 กันยายน 2023

        เซ็นทรัลพัฒนา ได้ร่วมเผยวิสัยทัศน์ในงาน Global Trend Summit Bangkok ที่ผ่านมา โดยได้เผยถึงหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ผลักดันให้การดำเนินธุรกิจของ “เซ็นทรัลพัฒนา” ประสบผลสำเร็จ นั่นคือเรื่องของการนำเรื่องของเทรนด์โลกเข้ามาผสมผสานตามยุคสมัย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Purpose-Driven Business Model หรือโมเดลการขับเคลื่อนองค์กรธุรกิจด้วยการกำหนดเป้าหมายหรือเจตจำนงที่ชัดเจน ว่าองค์กรนั้น ๆ สร้างคุณค่าและความหมายต่อลูกค้า สังคม และโลกอย่างไร โดยเป้าหมายของเซ็นทรัลพัฒนาก็คือ “Imagining better futures for all”

        โดยภายในงานเสวนาระดับโลกครั้งนี้ ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ How Central Pattana Lives Purpose ซึ่งสะท้อนความสำคัญของหลักการดำเนินธุรกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน

        “ในยุคที่การดำเนินธุรกิจไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้เพียงอย่างอย่างเดียว หากแต่คือการดำเนินธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างรอบด้าน โดยอาศัยเรื่องของเทรนด์โลกเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญตัวแปรหนึ่งในการดำเนินงาน เป้าหมายของเราคือศูนย์การค้าต้องไม่ทำหน้าที่เป็นศูนย์การค้าเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสร้างเอ็นเกจเมนต์ให้คนเข้ามาอยู่ร่วมกัน และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ Local SMEs ไปจนถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ให้มาอยู่ด้วยกันให้แข็งแรงขึ้น เพราะเราไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว จำเป็นต้องสร้าง Ecosystem ร่วมกันในแต่ละจังหวัดที่เข้าไปลงทุนผ่านการร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น หอการค้า และสมาคมต่างๆ โดยมีเรื่องสิ่งแวดล้อม ชุมชน คนและสังคมเข้ามาเป็นบริบทสำคัญในการดำเนินงาน” ดร. ณัฐกิตติ์กล่าว

        จาก Brand Purpose ของ “เซ็นทรัลพัฒนา” “Imagining better futures for all จึงเกิดขึ้นเป็นกลยุทธ์แบบองค์รวมในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนรอบด้านขึ้น ภายใต้แนวคิด “The Ecosystem for All” รองรับไลฟ์สไตล์ 360 องศา ทั้ง Shop-Eat-Work-Play-Stay-Live และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทุกคน โดยประกอบไปด้วย 3 ส่วนได้แก่ People, Place และ Planet ไปจนถึงเรื่องของ ESG ต่างๆที่ต้องทำให้ยั่งยืนอย่างรอบด้าน

        “ถ้าเซ็นทรัลพัฒนาไปอยู่ในชุมชนไหน ชุมชนนั้นต้องเจริญ” ยกตัวอย่างหากเป็นเมืองท่องเที่ยว ก็ต้องไปช่วยเรื่องการท่องเที่ยวในจังหวัดนั้นๆ เพราะเราเชื่อว่าหากการท่องเที่ยวในจังหวัดนั้นดีขึ้น เศรษฐกิจหรือจีดีพีในจังหวัดก็จะดีขึ้น คนจะมีรายได้มากขึ้น กำลังซื้อสูงขึ้น และทุกอย่างจะกลับมาที่เราเช่นกัน” ดร.ณัฐกิตติ์กล่าวเสริม

        1. PEOPLE : ด้วย DNA ของการเป็นนักพัฒนา ดังนั้นจึงมุ่งหวังที่จะส่งเสริมและพัฒนา Stakeholder ทุกคนให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ยั่งยืนและเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน ด้วยการมุ่งสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ ลูกค้า, คู่ค้า, พนักงาน, ผู้ถือหุ้น ไปจนถึงชุมชนโดยรอบ

        ยกตัวอย่าง การเข้าไปสนับสนุนผู้ประกอบการกาแฟท้องถิ่น ที่มาร่วมในงาน THAILAND COFFEE HUB ที่เซ็นทรัลเวิลด์ จนประสบความสำเร็จ โดยเพียง 7 วันก็สามารถสร้างรายได้มากกว่า 20 ล้านบาท งานนี้เกิดขึ้นจากความหลงใหลในกาแฟของพนักงานของเรา เขาเจาะลึกเข้าไปในชุมชนกาแฟและค้นพบรสชาติที่โดดเด่นของกาแฟไทยชื่อว่า SEED OF SIAM แบรนด์กาแฟจากเมืองจันทบุรี

        การค้นพบนี้จุดประกายภารกิจ…ที่จะนำกาแฟไทยให้เป็นที่รู้จัก ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก นอกจากนี้ยังคงสนับสนุนผู้ประกอบการกาแฟด้วยพื้นที่ Pop-up ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั้ง 39 สาขาทั่วประเทศ สนับสนุน Ecosystem ของกาแฟ ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟและผู้แปรรูป ไปจนถึงผู้คั่วกาแฟและคนรักกาแฟ

        “งาน THAILAND COFFEE HUB ที่ผ่านมา จุดประสงค์ของเราไม่ใช่แค่งานที่จัดขึ้นสำหรับคอกาแฟเท่านั้น หากแต่คือการสร้างแบรนด์กาแฟให้คนรู้จัก สร้างคอนเนคชั่นระหว่างคนขาย คนปลูก จนต่อยอดไปยังทั่วประเทศและในระดับโลกในที่สุด และนั่นคือการสร้างความยั่งยืนตั้งแต่ระดับตัวบุคคลไปจนถึงการสร้างแบรนด์ไปทั่วโลก”

        2.PLACE หรือความมุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทั่วประเทศ หรือ ‘Place Making’ ที่จะเชื่อมโยงผู้คนและโลกเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน มอบประสบการณ์ครบวงจร ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์แบบ 360 องศา ที่ไม่ใช่แค่พื้นที่เชิงพาณิชย์ แต่คือผู้สร้างสถานที่ที่เชื่อมโยงผู้คนและมีส่วนร่วมกับประสบการณ์ชีวิตจริง กล่าวคือ “ถ้าเซ็นทรัลพัฒนาไปอยู่ในชุมชนไหน ชุมชนนั้นต้องเจริญ” ยกตัวอย่างหากเป็เนมืองท่องเที่ยว ก็ต้องไปช้วยเรื่องการท่องเที่ยวในจังหวัดนั้นๆ เพราะเราเชื่อว่าหากการท่องเที่ยวในจังหวัดนั้นดีขึ้น เศรษฐกิจหรือจีดีพีในจังหวัดก็จะดีขึ้น คนจะมีรายได้กำลังซื้อมากขึ้น และทุกอย่างจะกลับมาที่ตัวเราเช่นกัน

         เซ็นทรัลพัฒนายึดเอาเรื่องของการสร้างเศรษฐกิจโดยองค์รวมมาใช้ในการปั้นสถานที่แลนดมาร์กระดับโลก ผ่านเรื่องการสร้างและโปรโมทอีเวนต์ต่างๆของทางศูนย์ฯ โดยเลือกยึดเอาเทรนด์ความนิยมในขณะนั้นมาเป็นแกนหลักในการดำเนินงาน ทั้งพฤติกรรม แสง สีเสียง รูปแบบต่างๆ ในการสร้างสรรค์งานต่างๆ เช่น งานเคาท์ดาวน์กรุงเทพ งานเทศกาล Pride Month และเทศกาลสงกรานต์ เป็นต้น โดยกิจกรรมเหล่านี้มีไว้สำหรับให้ผู้คนได้แบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุขร่วมกัน ภูมิใจที่จะแสดงความเป็นตัวเองผ่านเทศกาลต่างๆ รวมถึงเป็นเวทีที่โชว์วัฒนธรรมอันงดงามของไทยไปสู่สายตาชาวโลก และยังเป็นการยกระดับประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลกและกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยม

        นอกจากนี้ยังมีการเปิดพื้นที่บริการสาธารณะประโยชน์เพื่อชาติ โดยในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ร่วมมือกับผู้เช่าและพันธมิตรในการจัดส่งอาหารกล่องให้กับแพทย์ พยาบาล และอาสาสมัครที่เสียสละในช่วงวิกฤต และยังเปลี่ยนพื้นที่ของศูนย์การค้าให้เป็นสถานที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ให้บริการฉีดวัคซีนจำนวนมาก กว่า 2.6 ล้านโดส พร้อมแจกฟรี 40,000 ตร.ม.สำหรับเกษตรกรและ SMEs ที่ได้รับผลกระทบมาขายของรวมกว่า 300 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังมีการสนับสนุนสภากาชาดไทยโดยจัดให้มีพื้นที่ในศูนย์การค้าเพื่อใช้เป็นสถานีบริจาคโลหิตทั้งแบบชั่วคราวและแบบประจำมานานกว่า 34 ปี โดยณ สิ้นปี 2565 สามารถนำเลือดเข้ามาบริจาคได้ 10.08 ล้านซีซี.

        ทั้งหมดเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายของเซ็นทรัลพัฒนาที่ไม่ได้แค่สร้างศูนย์การค้า แต่โดยองค์รวมยังหมายถึงการไปสร้างเมือง ที่ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า, โครงการที่อยู่อาศัย, โรงแรม และอาคารสำนักงาน ด้วยการร่วมมือกับ หอการค้าจังหวัดนั้นๆ และสมาคมต่างๆ ในท้องถิ่นเพื่อร่วมกันพัฒนาท้องถิ่นนั้นๆ ให้ดีขึ้น และเป็นแม็กเนตให้ลูกค้าเข้ามาไม่ว่าจะเป็นที่ นครสวรรค์ กระบี่ ภูเก็ต ฯลฯ เพื่อไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ใช้บริการ โดยมีเป้าหมายคือขยายโครงการต่างๆไปทั่วประเทศ เป็นการสร้างโอกาสให้กับชุมชนท้องถิ่นและ SMEs ในท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อสร้างเมือง สร้างอาชีพ แก่ให้เกิด Local Wealth ที่ยั่งยืน สร้างความยั่งยืนแก่โลกตามแผน “Net Zero 2050” ที่มากกว่าธุรกิจและผลกำไร

        3.PLANET สร้างความยั่งยืนขับเคลื่อนเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมผู้บริโภคที่ตอบโจทย์งานด้านสิ่งแวดล้อมยุคใหม่ที่ดีขึ้น ภายใต้แผนงานเชิงกลยุทธ์ที่เรียกว่าแผน “Net Zero 2050” เพื่อเป็นแนวทางในความพยายามด้านความยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายที่ยากที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนเมื่อต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

        ในฐานะนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับและสนับสนุนผู้บริโภคเชิงนิเวศ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ภายใต้แผนงาน “Net Zero 2050” ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และมลพิษจากธุรกิจสุทธิเป็นศูนย์ โดยมีหนึ่งในภารกิจสำคัญคือการติดตั้ง SOLAR PANEL ที่ทุกสาขาซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จ ภายในปีหน้า (2567)

        นอกจากนี้เซ็นทรัลพัฒนายังเป็นศูนย์การค้าแห่งแรกที่ให้บริการสถานีสถานี EV และยังมีการพัฒนาศูนย์การค้าในรูปแบบ Low Carbon Mall หรือ ศูนย์การค้าต้นแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้จะนำร่องเป็นแห่งแรก ที่ศูนย์การค้า “เซ็นทรัล เวสต์วิลล์” (Central Westville) มิกซ์ยูสแห่งใหม่ล่าสุดมูลค่ากว่า 6,200 ล้านบาท ที่ได้รับการออกแบบให้เป็นศูนย์การค้าแบบ Semi-Outdoor ด้วยการออกแบบให้มีพื้นที่เปิดโล่ง (Outdoor)ใช้ลมธรรรมชาติ 50% และการแยกขยะให้สามารถนำมารีไซเคิ้ลได้ เป็นต้น ซึ่งแนวคิดเหล่านี้จะกลายมาเป็นต้นแบบของศูนย์การค้าประหยัดพลังงานในเครือเซ็นทรัลต่อไปในอนาคตซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทรนด์โลกที่สำคัญ

        ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กล่าวทิ้งท้ายว่า “แน่นอนทุกวันนี้ธุรกิจไม่สามารถอยู่ได้ด้วยกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีวัตถุประสงค์ว่าเรา Stand For อะไร ถ้าไม่สามารถตอบตัวเอง ตอบลูกค้าได้ เราก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ ดังนั้นหัวใจสำคัญที่ “เซ็นทรัลพัฒนา” นำมาใช้ในการดำเนินงานคือเรื่องของ Brand Purpose เชื่อม Ecosystem ต่างๆเข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยบุคลลากรในองค์กรถือเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญในการดำเนินงานสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน Imagining Better Futures for All ในอนาคต”


คลิปวิดีโอ