วันจันทร์ ที่ 25 พฤศจิกายน 2567 13:59น.

“กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์” เผยตลาดสร้างบ้านยังเผชิญความท้าทายรับปีมังกรไฟ เปิดแผนธุรกิจเน้นรักษาแบรนด์คุณภาพ

1 กุมภาพันธ์ 2024

        กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ เผยภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านปี 67 ยังเผชิญความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะความท้าทายในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจคู่ค้าหลักของไทย รวมทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมี 4 ปัจจัยบวก หนุนตลาดฟื้นตัว โดยเปิดแผนปีมังกรเน้นรักษาแบรนด์ที่มีคุณภาพ ไม่เล่นสงครามราคา พร้อมเดินหน้าจัดกิจกรรม“Site Seeing สร้างบ้าน ต้องเห็นบ้าน” ต่อเนื่อง ดันรายได้แตะ 1,200 ล้านบาท

        นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านปี 2567 ว่ายังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ที่ชัดเจนสุดคือ ความท้าทายในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจไทย มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาทิ สงครามการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ปาเลสสไตล์ แม้ว่าการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จะมีแนวโน้มว่าจะจบลงได้ แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูงเช่นกัน ในส่วนเศรษฐกิจของคู่ค้ารายใหญ่ โดยเฉพาะจีน สหรัฐฯ และยุโรป จากผลกระทบจากสงครามการสู้รบ ทั้งเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นสูงในปี 2566-2567 ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศไทยค่อนข้างมาก ส่วนปัญหาในประเทศก็มีเรื่องหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง การเมืองซึ่งยังมีความไม่แน่นอนและมีเสถียรภาพ รวมไปถึงการใช้จ่ายต่างๆของภาครัฐที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ยังไม่ได้มีการอนุมัติจากสภาฯ ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้จ่ายได้อย่างมากและรวดเร็วภายในเดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป

        ด้านปัจจัยบวกในปีนี้ เรื่องการท่องเที่ยว ที่จะนำเม็ดเงินสดเข้ามาในประเทศอย่างรวดเร็ว จากปี 2566 ที่มีนักท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้าที่วางไว้คือ 28 ล้านคน และเชื่อว่าในปี 2567 นี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากถึง 35-38 ล้านคน จากปัจจัยการเปิดฟรีวีซ่าของไทยให้กับหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย รัสเซีย เป็นต้น เรื่องการส่งออก ก็เชื่อว่าตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2567 เป็นต้นไป จะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ในต่างประเทศเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED จะมีการปรับดอกเบี้ยลงตั้งแต่ประมาณกลางปี 2567 เป็นต้นไป และคาดการณ์ว่าในปี 2567 จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3-4 ครั้ง หรือประมาณ 1% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกรวมทั้งไทยปรับลดลงด้วย และจะส่งผลให้ภาคธุรกิจทั่วโลกและไทยฟื้นตัวขึ้น การลงทุน ด้วยยุทธศาสตร์ประเทศจะทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากต่างประเทศมายังประเทศไทยมากขึ้น จากการที่รัฐบาลออกแนะนำตัวตามเวทีโลกต่างๆ ทั้งโครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge) หรือสะพานเศรษฐกิจ รวมไปถึงโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ และการสนับสนุน ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการผลิตรถ EV การทำ FTAกับต่างประเทศโดยเฉพาะ EU เป็นต้น ซึ่งจะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นตั้งแต่กลางปี 2567 การใช้เม็ดเงินในประเทศ กว่างบประมาณจะผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา คงจะสามารถใช้และกระจายงบประมาณการเงินได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป ซึ่งรัฐบาลคงต้องมีการเทงบประมาณใช้จ่ายออกมาอย่างมาก เพื่อฟื้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องไปได้ดี โครงการสำคัญๆและการดำเนินนโยบายต่างๆเหล่านี้ จะผลักดันให้ GDP ไทยสามารถเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 3-3.5% เปรียบเทียบกับ GDP ในปี 2566 ซึ่งเติบโตได้ประมาณบวกลบ 2% เท่านั้น ซึ่งในปี 2566 GDP ไทย ยังเติบโตได้น้อยกว่าปี 2565 ซึ่งโตประมาณ 2.6%

        “สำหรับภาคธุรกิจอสังหาฯ และรับสร้างบ้าน ในช่วงปีที่ผ่านมา เริ่มจะฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากวิกฤติโควิด-19 แต่เริ่มมาชะลอตัวอีกในช่วงไตรมาส 3- 4 /2566 จากปัจจัยลบดังกล่าวข้างต้น”นายสุธี กล่าว

        ในส่วนของบริษัทฯเองนั้นในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา ได้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท แต่เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3-4 /2566 ภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดชะลอตัวลง ลูกค้าบางราย กู้สินเชื่อได้ไม่ 100% ส่งผลให้ชะลอการตัดสินใจสร้างบ้านไป คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10-15% ซี่งส่วนใหญ่เป็นบ้านระดับราคา 2-8 ล้านบาท แต่ระดับ 2-5 ล้านบาทจะมากที่สุด ส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯในปี 2566 อยู่ที่ 1,100 ล้านบาท

        สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท จากปี 2566 ที่ทำได้ 1,100 ล้านบาท เท่ากับรายได้ของปี 2565 แบ่งเป็นรายได้จาก บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 25 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% หรือประมาณ 250 ล้านบาท บริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 10-25 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% หรือประมาณ 350 ล้านบาท และ บริษัท สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 2-10 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% หรือประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุด โดยในปี 2566 ที่ผ่านมามีลูกค้าเซ็นสัญญาไปประมาณ 172 หลัง และปัจจุบันบริษัทฯอยู่ในระหว่างการก่อสร้างบ้านให้ลูกค้าประมาณ 250 หลัง ราคาตั้งแต่ 2-60 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 1,375 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล

        คุณสุธี กล่าวเพิ่มเติมว่าธุรกิจรับสร้างบ้านเป็นธุรกิจ “Product Oriented ” ไม่ใช่ “ Marketing Oriented ” คุณภาพบ้านหรือตัวสินค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการตลาด และการโฆษณา ถึงแม้การตลาดและการโฆษณาจะมีความสำคัญมากก็ตาม ถ้าทำเรื่องคุณภาพและมาตรฐานงานก่อสร้างได้สำเร็จ ธุรกิจจึงจะอยู่ได้อย่างมั่นคง กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ จึงให้ความสำคัญเรื่องแบรนด์และคุณภาพงานก่อสร้างอย่างมากมาตลอดกว่า 20 ปี ตั้งแต่ก่อตั้ง ทั้งนี้ในส่วนการทำตลาด บริษัทฯยังคงเน้นและให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรม “Site Seeing” สร้างบ้าน ต้องเห็นบ้าน อย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการจัดกิจกรรมไตรมาสละ 1 ครั้ง ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้วกว่า 15 ปี และได้รับผลตอบรับดีมากจากลูกค้า กิจกรรมนี้ทำให้ลูกค้าได้เห็นและสัมผัสกับไซต์งานก่อสร้าง คุณภาพ งานก่อสร้าง โรงงานผลิตชิ้นส่วนโครงสร้างบ้าน และทีมงานของบริษัทฯ โดยการจัดกิจกรรมแต่ละครั้งสามารถรองรับลูกค้าประมาณ 40 ครอบครัว หรือประมาณ 100 รายเท่านั้น (โดยไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม) โดยในไตรมาส 1/2567 จะจัดขึ้นในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 นี้


คลิปวิดีโอ