จากผลสำรวจอัตราเงินเดือนทั่วเอเชีย โดย JobsDB by SEEK ที่ผ่านมา พบว่าหลังจากเกิดโรคระบาดอย่างไวรัสโควิด 19 ส่งผลต่อรูปแบบของการทำงานที่เปลี่ยนไปจากเดิมค่อนข้างมาก จากที่ต้องเดินทางเข้าออฟฟิศ เพื่อทำงานตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ สู่การปรับตัวทำงานที่บ้านพร้อมสลับเข้าบริษัทอย่าง Hybrid Work ที่สามารถสร้างความสมดุลหรือ Work life Balance ให้ในชีวิตคนทำงานได้ ซึ่งแนวทางนี้ก็เติบโตขึ้นในประเทศไทยเช่นกัน โดยปัจจุบันผู้สมัครงานรุ่นใหม่เริ่มนำแนวคิด “Hybrid Work” มาเป็นปัจจัยในการพิจารณางานที่ต้องการ มากกว่าการพิจารณาเรื่องค่าตอบแทนที่สูงขึ้นเป็นหลักเท่านั้น และแนวคิดนี้ก็กลายเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ในการพิจารณาการหางานในปัจจุบันของคนทั่วโลกเช่นกัน
คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ บริษัท จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากการเกิดโรคระบาดอย่างไวรัสโควิด 19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม อีกทั้งยังสร้างความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนทั่วโลกจนปรับตัวกันแทบไม่ทัน รวมไปถึงยังส่งผลต่อรูปแบบการทำงานที่ปรับมาทำงานที่บ้านหรือ Work from Home เพื่อลดความเสี่ยงของโรคระบาดลง และยังช่วยในเรื่องของลดค่าใช้จ่าย และเวลาในการเดินทางลง แต่ในขณะเดียวกันการ Work From Home กลับส่งผลให้บางคนต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้น ทำให้แยกชีวิตส่วนตัวกับงานไม่ได้ ขาดการทำงานเป็นทีม ดังนั้นเมื่อผ่านสถานการณ์โควิด 19 มาแล้ว แนวคิดการผสมผสานระหว่างการเดินทางมาทำที่ออฟฟิศสลับกับการทำงานอยู่ที่บ้านหรือที่เรียกว่า Hybrid Work จึงเริ่มตอบโจทย์ต่อกลุ่มคนรุ่นใหม่ และส่งผลต่อการทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
“การทำงานแบบ Hybrid Work จะเป็นการทำงานแบบสลับวันเข้าออฟฟิศ โดยจำนวนวันที่เข้าทำงานในออฟฟิศและการทำงานจากที่บ้านจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละองค์กร ซึ่งวิธีการทำงานแบบ Hybrid Work จะมีความยืดหยุ่นมากกว่าแบบเดิมๆ โดยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องของระบบสื่อสารต่างๆ อุปกรณ์การทำงาน เช่น Notebook เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพนักงานในการติดต่องาน ประชุม หรือจัดอบรมนั่นเอง”
โดยประเภทของ Hybrid Work จะมีด้วยกันอยู่ 4 อย่าง คือ 1. การทำงานแบบ Flexible เน้นความยืดหยุ่นให้แก่พนักงาน โดยพนักงานสามารถเลือกสถานที่และชั่วโมงการทำงานได้เอง โดยดูจากหน้าที่ความรับผิดชอบหรือความสำคัญของงานในแต่ละวัน 2. การทำงานแบบกำหนดวัน โดยบริษัทจะเป็นผู้กำหนดให้พนักงานเอง เช่น บริษัทกำหนดให้วันจันทร์-พุธ พนักงานทุกคนต้องเข้าออฟฟิศ และวันพฤหัสบดี-ศุกร์ พนักงานทำงานที่ไหนก็ได้ หรือสลับทีมกันเข้าออฟฟิศ 3. การทำงานแบบเน้นเข้าออฟฟิศเป็นหลัก แต่พนักงานสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ เพียงแจ้งต่อหัวหน้าทีมหรือบริษัทได้เช่นกัน ซึ่งรูปแบบนี้ต้องมีการแจ้งล่วงหน้าหรืออาจทำได้แค่ 1 วันต่อสัปดาห์ และสุดท้าย 4. การทำงานแบบเน้นการ Remote Work จะเน้นให้พนักงานทำงานที่ไหนก็ได้เพียงกำหนด 1 วันต่อสัปดาห์ ที่จะให้พนักงานเข้ามาทำงานในออฟฟิศ เผื่อมีงานเร่งด่วนหรือเพื่อเป็นการเข้ามาประชุมอัปเดตข้อมูลกันภายในทีม ซึ่งองค์กรต่างๆ สามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมขององค์กรได้
“จากผลสำรวจอัตราเงินเดือนทั่วเอเชีย โดย JobsDB by SEEK พบว่าการทำงานแบบ Hybrid Work ถือเป็นเทรนด์การทำงานที่มาแรงที่สุดในยุคนี้ โดยในทั่วโลกเปอร์เซ็นของผู้หางานที่ปฏิเสธงาน เพราะเหตุผลของ Work-life balance สูงถึง 19% ซึ่งนับเป็นอันดับที่ 2 และอันดับ 1 ได้แก่ค่าตอบแทนและโบนัส ที่ 21% สำหรับประเทศไทยก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับทั่วโลก โดยผู้หางานในไทยให้ปัจจัยที่ปฏิเสธงาน เพราะค่าตอบแทนและโบนัสเป็นอันดับ 1 ที่ 13% และเรื่อง Work-life balance เป็นอันดับ 2 ที่ 11% ตามลำดับ ดังนั้นการทำงานแบบ Hybrid Work จึงเป็นหนึ่งในเกณฑ์การตัดสินใจในการหางานของคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถให้มาร่วมงานกับบริษัทได้มากยิ่งขึ้น และยังคงเป็นหนึ่งสิ่งที่องค์กรสามารถรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่พัฒนาบริษัทไปได้นานๆ อีกด้วย
ดังนั้นการทำงานแบบ Hybrid Work จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่องค์กรและบริษัทต่างๆ ต้องหันมาพิจารณาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร เพื่อการสร้างความสมดุลในการใช้ชีวิตของพนักงาน เพราะนอกจากพนักงานจะทำงานได้อย่างมีความสุขแล้ว บริษัทเองก็จะได้งานที่มีประสิทธิภาพจากพนักงานที่มีความสามารถและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขกลับไปเช่นกัน” คุณดวงพร กล่าวปิดท้าย