ไวด์เฮ้าส์ ดีไซน์ แอนด์ บิลด์ (WIDE HOUSE) พร้อมฉีกกรอบธุรกิจรับสร้างบ้านในไทย หลังพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนหันมาใช้ชีวิตภายในบ้านเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจรับสร้างบ้านต้องปรับ เพราะแบบบ้านเพียงแบบเดียวไม่สามารถเติมเต็มความต้องการลูกค้าทุกรายได้ในปัจจุบัน ชูจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญในการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้กลายเป็นฟังก์ชันภายในบ้าน ที่พร้อมเติมเต็มทุกการอยู่อาศัยคาดภาพรวมตลาดยังเติบโต ปีแรกตั้งเป้าเติบโต 300%
นายธนัชพงศ์ จิระชาติชัยวงษ์ กรรมการบริหาร บริษัท ไวด์เฮ้าส์ ดีไซน์ แอนด์ บิลด์ จำกัด หรือ WIDE HOUSE เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยมีมูลค่ารวมกว่า 2 แสนล้านบาท โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าตลาดยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะบ้านคือ 1 ใน 4 ปัจจัยหลักของการดำรงชีวิต ที่สำคัญการมีบ้าน เป็นของตนเองกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยบ่งชี้ถึงการประสบความสำเร็จอย่างหนึ่ง โดยเทรนด์ของการสร้างบ้านในปัจจุบันนั้น ลูกค้าถือเป็นศูนย์กลางในการออกแบบ ด้วยไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างทำให้แบบบ้านในอุดมคติของแต่ละรายแตกต่างกัน และจากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ WIDE HOUSE จึงได้นำมาใช้เป็นพื้นฐานในการออกแบบ เพื่อให้ได้แบบบ้านที่สามารถเติมเต็มความต้องการได้สูงสุด
“ความแตกต่างที่ผู้บริโภคจะได้รับเมื่อใช้บริการของ WIDE HOUSE คือ การเปิดกว้างและอิสระทางความคิดในการดีไซน์บ้านตามสไตล์ที่ตนเองชอบ ไม่ตีกรอบลูกค้าให้เลือกใช้เฉพาะแบบบ้านที่มี ลูกค้าสามารถครีเอทฟังก์ชันตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างเต็มที่ร่วมกับทีมสถาปนิกมืออาชีพของ WIDE HOUSE พร้อมด้วยทีมนักออกแบบภายในจากบริษัทพาร์ทเนอร์ SW STUDIO ซึ่งผ่านงานออกแบบในระดับสากลมาแล้วกว่า 10 ปี เพื่อให้ได้บ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตัวเองและครอบครัวอย่างแท้จริง” นายธนัชพงศ์ จิระชาติชัยวงษ์ กล่าวถึง ความต่างที่ผู้บริโภคจะได้รับจากบริการของ WIDE HOUSE
ปัจจุบันนักออกแบบชาวไทยได้รับการยกย่องว่ามีความโดดเด่นด้านความคิดสร้างสรรค์ ถนัดและพิถีพิถันในเรื่องความงาม ความวิจิตร และสัดส่วนของงาน ที่ถ่ายทอดจากอดีตสู่ปัจจุบันทั้งยังมีพัฒนาการให้เห็นอยู่ตลอดเวลา โดยศักยภาพของนักออกแบบชาวไทยสามารถสร้างการยอมรับได้ในระดับโลก WIDE HOUSE จึงมีความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบบริการที่มากคุณค่านี้ให้แก่กลุ่มลูกค้าในไทย ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ เพิ่มอิสรภาพทางความคิด ให้ได้บ้านที่เป็นบ้านของตนเองและครอบครัวอย่างแท้จริง โดยแบบบ้านที่กำลังเป็นเทรนด์ความต้องการในปัจจุบัน ประกอบด้วย บ้านสไตล์มินิมอล เรียบง่าย แต่ดูทันสมัย ภายในในมีฟังก์ชันเพียงพอต่อความต้องการ อีกสไตล์ที่เข้ามารองจากมินิมอล นั่นคือ นอร์ดิก ซึ่งนอกร์ดิกเองมีความใกล้เคียงกับมินิมอล เพียงแต่จะให้โทนและอารมณ์ที่ดูอบอุ่นมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน WIDE HOUSE มีกลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ทั้งครอบครัวขยายที่รวมสมาชิกภายในบ้านไม่เกิน 2 เจนเนอเรชัน และครอบครัวเดี่ยว ครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกภายในบ้านมากกว่า 3 เจนเนเรชันขึ้นไป ประกอบด้วยบ้านหลายหลังที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยนายธนัชพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ของ WIDE HOUSE จะมีที่ดินเดิมอยู่แล้ว โดยเป็นที่ดินมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น และต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ทดแทนหลังเดิมที่ปลูกสร้างมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่าหรือรุ่นพ่อแม่ โดยฟังก์ชันบ้านของลูกค้ากลุ่มนี้มักจะเป็นการขยับขยายครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่จะมีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ร่วมด้วย 1-2 เจนเนอเรชันขึ้นไป ส่วนอีกกลุ่มที่เป็นครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่แยกตัวออกมาเป็นครอบครัวขยาย มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง มักจะมองหาที่ดินในเมือง อาจมีพื้นที่ไม่มากนัก อยู่ในซอย แต่ไม่ต้องออกไปถึงแถบชานเมือง และมีสไตล์บ้านที่ตนเองชื่นชอบอยู่แล้ว มีฟังก์ชันการใช้งานที่ต้องการเป็นพิเศษอย่างชัดเจน โดยทั้ง 2 กลุ่มนี้ยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่สนใจในบริการของเรา และสิ่งที่สัมผัสได้คือโจทย์ความต้องการที่มีความแตกต่างกันออกไป แต่ละครอบครัวมีความต้องการที่ชัดเจนก่อนจะเดินเข้ามาหาเรา เมื่อมีการมานั่งพูดคุยกันกับทีมสถาปนิก WIDE HOUSE จึงออกมาในรูปแบบการระดมและแลกเปลี่ยนมุมมองความคิด เพื่อใช้เป็นโจทย์ตั้งต้นให้เราสร้างสรรค์บ้านดีไซน์ใหม่ให้แก่ลูกค้าแต่ละครอบครัวโดยเฉพาะ และพร้อมส่งมอบบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่งานออกแบบ งานก่อสร้าง งานตกแต่งภายใน ไปจนถึงการดูแลหลังสร้างเสร็จ
“แม้ช่วงการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาจะส่งผลให้ธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจในระยะสั้นโดยเฉพาะกลุ่มบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยสถาบันการเงินและปัญหาสภาพคล่อง แต่ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย จึงเชื่อว่าความต้องการสร้างบ้านในกลุ่มนี้จะกลับมาดีขึ้นกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ที่น่าจับตาคือ กลุ่มบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความพร้อมด้านงบประมาณอยู่แล้ว และเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพทางการเงินสูง “เห็นได้ชัดเจนว่าหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย กลุ่มกำลังซื้อคนรุ่นใหม่เริ่มเห็นความสำคัญของบริษัทรับสร้างบ้านที่มีศักยภาพในการออกแบบที่ตรงกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตมากขึ้น เป็นผลจากช่วงโควิด-19 ที่ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป บ้านจึงต้องเป็นได้มากกว่าบ้าน เป็นทั้งที่ทำงาน ที่รวมกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ให้อยู่ได้โดยไม่เบื่อตลอด 24 ชั่วโมง เห็นชัดเจนจากกลุ่มลูกค้า Gen C ที่มีความเป็นปัจเจกบุคคลสูง เป็นกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารเป็นหลัก ฉลาดในการบริหารเงิน รักความสะดวกสบาย สนใจสิ่งที่มีสไตล์เฉพาะตัว ชอบจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง รู้จักสร้างสมดุลของการใช้ชีวิตระหว่างงานและเรื่องส่วนตัว กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่น่าจับตา และ WIDE HOUSE เชื่อว่ากลไกธุรกิจแบบเดิมๆ ของกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านที่มีในตลาด ณ ปัจจุบัน อาจไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของคนกลุ่มนี้ได้เต็มที่นัก ดังนั้นความยืดหยุ่น การเปิดรับทางความคิด และคำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์เพื่อทำให้บ้านในอุดมคติหลังนั้นเกิดขึ้นได้จริง จึงเป็นสิ่งที่ลูกค้ายุคปัจจุบันแสวงหา และนี่คือจุดเปลี่ยนที่ WIDE HOUSE ได้พัฒนาบริการให้รองรับความต้องการในลักษณะนี้อย่างครบวงจร” นายธนัชพงศ์ กล่าวเสริม