นายกิตตินันท์ อนุพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอนนี่แวร์ ทู โก จำกัด และผู้ร่วมก่อตั้ง เคลมดิ (Claim Di) สตาร์ทอัพชั้นนําด้านบริการ แอปพลิเคชันเคลมประกัน เปิดเผยว่า ในงาน Insuretech Connect Asia 2022 ล่าสุดที่จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ แนวโน้มประกันภัยในเอเชียและในประเทศไทยว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น หลังจากประสบปัญหาจากการระบาดของโควิด19 ทำให้หลายบริษัทขาดทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
“ปีนี้ หลายองค์กรในตลาดประกันภัยเริ่มมองเห็นแนวโน้มที่สดใส หลายบริษัทในภูมิภาคต่างเห็นพ้องต้องกันถึงศักยภาพของนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี และความร่วมมือภายในเครือข่ายระบบนิเวศประกัน ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้บริษัทประกันบรรลุถึงโอกาสใหม่ทางการตลาด ด้วยการนำเสนอบริการรูปแบบใหม่ เพื่อให้ได้ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ในขณะที่ยังรักษาฐานลูกค้ากลุ่มเดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น” กิตตินันท์ กล่าว
โดยไฮไลท์ที่พูดคุยภายในงาน InsureTech Connect Asia ในปีนี้ครอบคลุมประเด็นสําคัญ 4 ประการของความก้าวหน้า และโอกาสใหม่ในธุรกิจ InsurTech ได้แก่ 1) การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่จะมุ่งเน้นที่ “พฤติกรรมของลูกค้า” (customer behavior) เป็นหลัก 2) การปฏิรูปทางดิจิทัล หรือ Digital Transformation ของธุรกิจ 3) การควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจ และ 4) การพัฒนาระบบนิเวศ (ecosystem) เพื่อต่อยอดธุรกิจ
ทั้งนี้ เทคโนโลยีที่คาดการณ์ว่าจะมาช่วยให้ธุรกิจประกันดีขึ้นแบบพลิกโฉมนั้น InsureTech Connect Asia 2022 มีข้อสรุปร่วมกันว่า ต้องเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะให้ธุรกิจประกันภัยสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้อย่างถูกต้อง และสามารถติดต่อไปยังลูกค้าโดยตรงโดยตัดตัวกลางได้มากที่สุด เพื่อช่วยให้ธุรกิจประกันภัยสามารถลดต้นทุน และความผิดพลาดในการวางแผนธุรกิจได้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม กิตตินันท์ ชี้ว่าปัจจุบัน ยังไม่มีนักพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ หรือ สตาร์ทอัพรายใดสามารถนําเสนอ ผลงานด้านนี้ออกมาสู่ตลาดได้ในช่วงปีนี้
“ภาพรวมตลาดประกันภัยที่เปลี่ยนแปลงไปต่อจากนี้ คือทุกบริษัทประกันภัยจะหันมาเน้นเรื่อง Customer Centric หรือ Customer Behavior เป็นหลัก จากที่ผ่านมาเน้นแต่มุมมองภายในของผู้นำเสนอประกันเอง (Insurer Centric) ซึ่งภาคประกันถือเป็นภาคที่ปรับตัวช้ากว่าภาคธุรกิจอื่นๆ และความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างธุรกิจในระบบนิเวศพร้อมกับนำนวัตกรรมเทคโนโลยีรูปแบบใหม่มาใช้ เพื่อปรับตัวสู่ยุดิจิทัล คือหนทางสู่การต่อยอดธุรกิจใหม่ ช่วยสร้างการเติบโตให้กับระบบนิเวศ” กิตตินันท์ กล่าว
ในส่วนของเคลมดิ (Claim Di) เอง เตรียมส่งแพลตฟอร์มเทคโนโลยีล้ำหน้า ที่ให้มุมมองเชิงลึกในเรื่องของ Customer Behavior ในรูปแบบของ Bureau ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอุตสาหกรรมนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยที่ไม่ต้องผ่านตัวกลาง ช่วยลดค่าใช้จ่าย และพัฒนาธุรกิจประกันภัยไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่ตรงใจลูกค้าและเห็นผลชัดเจน
“การพัฒนาความร่วมมือกับสตาร์ทอัพนอกองค์กร จึงเป็นแนวโน้มรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้บริษัทประกันภัยได้ประโยชน์สูงสุดจากการนำนวัตกรรมใหม่อย่างการเข้าถึงข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าในเชิงลึก โดยที่องค์กรไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนานวัตกรรมดังกล่าวเอง และยังช่วยให้นำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้อย่างตรงใจ นอกจากจะเข้าถึงโอกาสใหม่ทางธุรกิจ ยังเป็นการต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นการพัฒนาโมเดลธุรกิจร่วมกันในระบบนิเวศเครือข่ายประกันที่ให้ผลประโยชน์ร่วมกัน และนำไปสู่การเติบโตของเครือข่ายพันธมิตรในระบบนิเวศในภาพรวมได้”
กิตตินันท์ ได้ยกตัวอย่างบริษัทประกันสัญชาติสิงคโปร์ อย่าง Income Insurance ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยรายใหญ่ที่สุดของประเทศสิงคโปร์ และเป็นลูกค้าของ Claim Di ที่ได้มีการนำระบบบริการเคลมไวมาใช้เป็นหลังบ้านในการให้บริการลูกค้าในประเทศสิงคโปร์ “Income Insurance ซึ่งเป็นลูกค้าของเรา เป็นบริษัทประกันภัยชั้นนำรายใหญ่ที่มุ่งเน้นเรื่องของนวัตกรรม มองว่าการสร้างนวัตกรรมควรสร้างจากมุมมองที่ต่างจากสิ่งที่คนอื่นทำ และเน้นการสร้างสตาร์ทอัพจากภายนอก และนี่คือสิ่งที่เคลมดิมองว่าเป็นอนาคตที่จะช่วยสร้างธุรกิจในรูปแบบใหม่เพื่อตอบโจทย์โอกาสใหม่ๆ ให้กับบริษัทประกันภัยได้อย่างตรงจุด”