บริษัท เวียตเจ็ท เอวิเอชั่น จอยท์สต็อค (VJC) ประเทศเวียดนาม (HOSE: VJC) จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2565 เพื่อทบทวนผลประกอบการทางธุรกิจในช่วงการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 พร้อมทั้งพิจารณาคณะกรรมการบริษัท และลงมติรายงานงบการเงินประจำปี 2564 ที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว รวมทั้งแผนการพัฒนาประจำปี 2565
อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกเผชิญกับช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์อันยาวนาน กระนั้น เวียตเจ็ทได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันแข็งแกร่งด้วยจิตวิญญาณแห่งการเป็นผู้นำ ความอุตสาหะ และความเข้มแข็งภายในอันแรงกล้า
เวียตเจ็ทได้รับรายงานว่ามีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 1.89 หมื่นล้านบาท (555 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2564 โดยมีกำไรหลังหักภาษีอยู่ที่ประมาณ 146.46 ล้านบาท (4.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ ประมาณ 7.49 หมื่นล้านบาท (2.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.9 และอัตราส่วนสภาพคล่องอยู่ที่ 1.6 ซึ่งนับเป็นตัวชี้วัดที่ดีในอุตสาหกรรมการบิน
ในปี 2564 เวียตเจ็ทฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและขยายเครือข่ายเส้นทางบินอย่างต่อเนื่อง มอบโอกาสการเดินทางที่มากขึ้นแก่ผู้โดยสารและร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม ในปีที่ผ่านมา สายการบินฯ ปฏิบัติการบินกว่า 40,000 เที่ยวบิน ให้บริการผู้โดยสารกว่า 5.4 ล้านคนบนกว่า 50 เที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศ ขนส่งสินค้าทางอากาศกว่า 63,000 ตัน โดยรายงานรายได้ขยายตัวกว่า 200% เมื่อเทียบกับปี 2563
พร้อมกันนี้ เวียตเจ็ทได้ปฏิบัติการเที่ยวบินเพื่อขนส่งหน่วยแพทย์ ตำรวจ และทหาร ไปยังพื้นที่ที่มาตรการป้องกันโรคไวรัสโควิด-19 เข้มงวด พร้อมขนส่งวัคซีนป้องกันโรคไวรัสโควิด-19 เป็นจำนวนหลายล้านโดส รวมถึงร่วมมือกับพันธมิตรในเครือโซวิโก (Sovico Group) บริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ รถพยาบาล เครื่องช่วยหายใจ ชุดตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 และเตียงพยาบาลแก่หลายพื้นที่ในเวียดนาม
ภายในสิ้นปี 2564 เวียตเจ็ทมีอากาศยานในฝูงบินทั้งสิ้น 76 ลำ ให้บริการเที่ยวบินบน 44 เส้นทางบินภายในประเทศ และ 95 เส้นทางบินระหว่างประเทศ พร้อมกันนี้ เวียตเจ็ทได้ลงนามในข้อตกลงพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับแอร์บัส (Airbus) ในการสั่งซื้ออากาศยานและความร่วมมือในการพัฒนาฝูงบินลำตัวกว้างของเวียตเจ็ท เตรียมพร้อมรับการฟื้นฟูในยุคหลังการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 เวียตเจ็ทยังได้ลงทุนในอากาศยานลำตัวกว้างแบบ Airbus A330-300 ปักหมุดหมายใหม่ในการเริ่มให้บริการเส้นทางบินที่ยาวนานขึ้น เวียตเจ็ทและแอร์บัสได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อสานต่อความร่วมมือระยะยาวในการสั่งซื้ออากาศยาน มุ่งพัฒนาเวียดนามสู่การเป็นศูนย์กลางการบินในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ณ ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ผู้ถือหุ้นลงมติให้ผ่านแผนพัฒนาธุรกิจประจำปี 2565 ซึ่งเวียตเจ็ทวางแผนขยายฝูงบินเพิ่มเป็น 82 ลำ ให้บริการเที่ยวบินถึง 100,000 เที่ยวบิน และขนส่งผู้โดยสารถึง 18 ล้านคน ผู้ถือหุ้นยังร่วมลงมติให้มีการจ่ายหุ้นปันผล 20% จากกำไรสะสมซึ่งยังไม่ถูกแบ่งสรรปันส่วนนับตั้งแต่ปีก่อนเกิดการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ในปีนี้ สายการบินฯ มีแผนสร้างรายได้กว่า 3.26 หมื่นล้านบาท (959 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นรายได้จากการขนส่งทางอากาศและจากผลกำไร
นับตั้งแต่เริ่มให้บริการเที่ยวบินแรกในปี 2554 เวียตเจ็ทได้ริเริ่มการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์แทนการใช้กระดาษและการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (อีคอมเมิร์ซ) ภายในปี 2565 สายการบินฯ มุ่งมั่นพัฒนาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ระบบอัตโนมัติ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้วยการสนับสนุนภาคธุรกิจดิจิทัลในการขนส่งทางอากาศ การขนส่งอากาศยาน และการบริการด้านโลจิสติกส์ รวมทั้งการขยายบริการทางอากาศ ได้แก่ การบริการภาคพื้นดิน การฝึกอบรม การเงิน การลงทุนโครงการ และบริการด้านอื่น ๆ
เวียตเจ็ทได้เปิดตัว SFC02 รวมถึงแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงในการใช้งานเครื่องบิน เพื่อช่วยลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม โดยในอนาคตอันใกล้นี้ สายการบินฯ จะยังคงดำเนินโครงการติดตามและจัดการการใช้เชื้อเพลิง และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของเครื่องบินพลเรือน โดยมุ่งเป้าไปที่การลดการปล่อยมลพิษและการป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ย้อนไปเมื่อปี 2564 ถือเป็นปีที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมการบิน อย่างไรก็ตาม นาย Le Anh Tuan รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมของเวียดนาม ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลเวียดนาม ยกย่องว่าเวียตเจ็ทได้ก้าวข้ามผ่านวิกฤตกลับสู่สภาพเดิมได้สำเร็จ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามและความสำเร็จของธุรกิจ
นาย Le เผยว่าเวียตเจ็ทมุ่งมั่นกลับมาให้บริการเส้นทางบินทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศอีกครั้ง หลังจากควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ได้ รวมทั้งการเริ่มให้บริการเส้นทางใหม่ สู่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย โดยหวังว่าฝูงบินแอร์บัส A330 ขนาดลำตัวกว้าง ซึ่งถูกเพิ่มเข้ามาในฝูงบินของเวียตเจ็ท เพื่อเตรียมพร้อมบิน สู่ ออสเตรเลียและยุโรปจะนำความสำเร็จมาสู่สายการบินฯ มากขึ้น
นาย Dinh Viet Son รองผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนเวียดนาม รับทราบถึงคุณูปการของเวียตเจ็ทที่มีต่อความปลอดภัยของอุตสาหกรรมการบินและคุณภาพการให้บริการบริการ โดยเล็งเห็นว่าเวียตเจ็ทเป็นแบบอย่างสำหรับการยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวเพื่อให้มั่นคงตลอดระยะเวลาการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ในขณะเดียวกัน สายการบินฯ ยังมองหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาการขนส่งทางอากาศ
นาย Dinh Viet Son เผยว่า “ตามแผน ‘บินในยุคดิจิทัล’ เวียตเจ็ทได้ค้นพบแนวทางเหมาะสมซึ่งสอดคล้องกับการกำหนดทิศทางของรัฐบาล โดยเฉพาะภาคการบินซึ่งต้องการความปลอดภัยสูงสุดและเทคโนโลยีที่ทันสมัย อีกทั้งยังเป็นกระแสโลกปัจจุบัน”
คณะกรรมการบริหารของเวียตเจ็ทได้รับทราบแนวทางของผู้นำกระทรวงคมนาคม และร่วมเสนอแนวคิดจากผู้ถือหุ้น การประชุมยังได้อนุมัติแผนการกระจายกำไรในปี 2564 และแผนการจ่ายเงินปันผลในปี 2565 แผนการออกพันธบัตร การเพิ่มทุนเช่าเหมาลำ และเลือกกรรมการบริหาร ประจำปี 2565 – 2570 โดยมีสมาชิกอิสระที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญด้านประกันภัยและการบิน