วันพฤหัสบดี ที่ 1 พฤษภาคม 2568 00:08น.

BKA เดินเกมรุกหลังประสบความสำเร็จในการนำหุ้นเข้า mai ขยายพอร์ตบ้าน Flipping เจาะโซนกรุงเทพฯ

30 เมษายน 2025

       บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป เดินเกมรุกหลังเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ สำเร็จ ประกาศวางกลยุทธ์นำเงินจากการระดมทุนเร่งต่อยอดขยายพอร์ตบ้าน Flipping เพิ่ม พร้อมปักหมุดโซนใหม่ ย่านกรุงเทพฯ ชั้นใน เล็งปั้นรายได้รวมโตไม่ต่ำกว่า 15 -20% ต่อปี มั่นใจตั้งแต่ปี 2569 BKA ทะยานแบบก้าวกระโดด 

      นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA เปิดเผยว่า ธุรกิจบ้านมือสองเป็นธุรกิจที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี บ้านมือสองยังขายดีอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นราคาที่กลุ่มลูกค้าที่อยากมีบ้านสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งในปี 2567 ยอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง (อ้างอิงจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC) สำหรับกลุ่มบ้านระดับราคา 3 -7.5 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 20% ซึ่งเติบโตสูงกว่าบ้านใหม่มือหนึ่ง และยังมีโอกาสเติบโตเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์แผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ความต้องการจากกลุ่มคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่าง การตัดสินใจซื้อ หันกลับมาสนใจโครงการประเภทบ้านแนวราบมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับ BKA ที่เห็นทิศทางการเติบโตธุรกิจบ้านแนวราบ ซึ่งจะได้รับอานิสงส์ในไตรมาส 2/2568 เพิ่มขึ้น

        สำหรับแนวโน้มธุรกิจต่อจากนี้ บริษัทเชื่อว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การขยายธุรกิจภายหลังจากการระดมทุน โดยเม็ดเงินที่บริษัทได้รับในครั้งนี้ จำนวน 108 ล้านบาท บริษัทใช้หมุนเวียนและต่อยอดเพื่อขยายพอร์ต Flipping เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบ้านมือสองที่มีศักยภาพการเติบโตจากสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) อยู่ในระบบจำนวนมาก ซึ่งคุ้มค่าต่อการลงทุน และหลังจากการนี้ บริษัทสามารถเข้าลงทุนซื้อทรัพย์ประเภท NPA จาก AMC ได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 70-80 หลังต่อปี และจะเจาะตลาดในพื้นที่กรุงเทพชั้นในเพิ่มขึ้น ภายใต้การมุ่งเน้นสินค้าบ้านเดี่ยวมือสองตกแต่งใหม่ ที่ระดับราคาตั้งแต่ 5-10 ล้านบาทเป็นหลัก เนื่องจากเป็นกลุ่ม ที่มีดีมานด์สูงมีความมั่นคงทางการเงิน และมี Rejection Rate ค่อนข้างอยู่ในระดับตํ่า ซึ่งทำให้บริษัทมีโอกาสสร้างอัตราการเติบโตต่อเนื่อง สอดรับกับการตั้งเป้ารายได้รวมที่บริษัทตั้งไว้ว่าจะเติบโต ไม่ต่ำกว่า 15-20% ต่อปี และจะเริ่มเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป

      “มองว่า ในปัจจุบันซัพพลายที่น่าสนใจยังมีอีกมากที่รอให้ BKA เข้าไปให้บริการ เนื่องจากลูกค้าในกลุ่ม AMC ที่มีสินค้า NPA ในมือที่รอการขายมีอยู่กว่าแสนล้านบาท และยังรอให้ BKA เข้าไปบริหารจัดการให้ในรูปแบบให้บริการ รับฝากขาย ซ่อมแซม ปรับปรุง ทำการตลาด และขายให้แบบครบวงจร ดังนั้นจากช่องว่างที่ยังมีอยู่ทำให้ BKA สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”

       ทั้งนี้ BKA วางกลยุทธ์สร้างการเติบโตผ่านการใช้ 2 กลยุทธ์หลัก คือ 1.การขยายพอร์ต ในฝั่งกรุงเทพตะวันตก (นนทบุรี) ซึ่งเป็นโซนหลักที่บริษัทมีความชำนาญ  และ 2.การขยายพอร์ตเข้าเมืองกรุงเทพมากขึ้น อาทิ โซนลาดพร้าว, บางกะปิ, รามคำแหง และสวนหลวง เป็นต้น เนื่องจากเชื่อว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีกำลังซื้อ  ที่สูง มีดีมานด์เพิ่มขึ้น และยังถือเป็นการกระจายพอร์ตรายได้ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่รอบกรุงเทพฯ

       นอกจากนี้ บริษัทเร่งพัฒนา Platform เพื่อเป็นตัวกลางในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ จากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ผ่านเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตอบโจทย์การค้นหาข้อมูลให้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งแผนดังกล่าวจะเริ่มมีความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ทั้งนี้หากแผนการพัฒนา Platform ดำเนินการ จะสามารถผลักดันให้บริษัทต่อยอดไปสู่ธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) เป็นรายแรกๆ ของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์  

      ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKA กล่าวตอกย้ำว่า Business Model ธุรกิจของ BKA ไม่ใช่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง แต่เป็นธุรกิจการให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย “ธุรกิจบ้านแต่ง” หรือ “Flipping” ซึ่งรูปแบบธุรกิจเป็นการวางเงินประกัน เพื่อปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนซื้อบ้านทั้งหลัง ทำให้บริษัทมีส่วนต่างของผลตอบแทน และมาร์จิ้นสูง เมื่อเทียบกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องลงทุนตั้งแต่การซื้อที่ดินและก่อสร้าง ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่า ด้วย Business Model ของ BKA ยังไม่มีผู้ประกอบการ รายใดที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ดำเนินธุรกิจในรูปแบบนี้ ทำให้เราจึงเป็นรายแรก 

       “บริษัทเชื่อว่าด้วยรูปแบบของ Business Model ที่เป็นการให้บริการรูปแบบของ Flipping ยังคงเติบโตได้อีกแม้กำลังซื้อจะชะลอตัว เนื่องจากความต้องการบ้านยังคงมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบ้านระดับราคา 5-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ BKA โฟกัสอยู่แล้วเพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินมากนัก ดังนั้นกลุ่มนี้จึงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ผลักดันให้ บริษัทเติบโตได้ต่อเนื่อง ประกอบกับปัจจัยบวกจากมาตรการภาครัฐที่สนับสนุนและกระตุ้นภาคอสังหาฯ ทั้งการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการ LTV ในระดับราคาบ้านไม่เกิน 7 ล้านบาท เป็นแรงบวกในการกระตุ้นอุตสาหกรรมอสังหาฯ ให้คึกคักมากยิ่งขึ้น”


คลิปวิดีโอ