วันพุธ ที่ 30 เมษายน 2568 02:34น.

ผถห.TEGH พร้อมใจโหวตจ่ายปันผลปี 67 อัตรา 0.21 บ./หุ้น อนุมัติแผน Spin-Off บ.ย่อย TEBP เข้าตลาด mai ในปีนี้

29 เมษายน 2025

        ผู้ถือหุ้น บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ไฟเขียวโหวตรับมติจ่ายเงินปันผลปี 67 อัตรา 0.21 บาท/หุ้น รับทรัพย์ 23 พฤษภาคมนี้ พร้อมอนุมัติแผน Spin-Off บริษัทย่อย TEBP เข้าตลาด mai ฟากแม่ทัพหญิง “สินีนุช โกกนุทาภรณ์”ระบุ ปักหมุดปี 68 รายได้เติบโต 30% แตะ 2.2 หมื่นล้านบาท คาดยอดขายยางแท่งมีลุ้น All Time High สู่ระดับ 250,000-280,000 ตัน ย้ำบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบทางตรงจากมาตรการ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ เพราะอยู่ในลิสต์ได้รับยกเว้นการเก็บภาษีตามคำสั่งใหม่ (Annex II และ Annex III)

        นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ และน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ในภาคตะวันออก และผู้นำด้านการผลิตพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์แบบครบวงจรรายใหญ่ในพื้นที่ EEC เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ในวันที่ 25 เมษายน 2568 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานปี 2567 (1 เมษายน – 31 ธันวาคม 2567) ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสดในอัตรา 0.21 บาท/หุ้น กำหนดขึ้น XD วันที่ 19 มีนาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568

         รวมถึงอนุมัติแผน Spin-Off ของบริษัทย่อย คือ บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (TEBP) ในการออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) และแผนการนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปีนี้ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งภายใต้แผน Spin-Off นั้น TEBP จะเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) เท่ากับหุ้นละ 1 บาท โดยจะออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น และ TEGH จะขายหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 15 ล้านหุ้น รวมจำนวนหุ้นที่จะ IPO ทั้งหมดไม่เกิน 90 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30.00% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ TEBP โดยภายหลังการ IPO TEGH ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ TEBP และ TEBP จะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ TEGH ภายหลังการ IPO

         สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 30% แตะระดับ 22,000 ล้านบาท จากทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งยางธรรมชาติ น้ำมันปาล์ม และพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ โดยเฉพาะธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแท่ง มีโอกาสที่ยอดขายจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) จากปริมาณขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 250,000-280,000 ตัน และราคายางธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้น

         “ปีนี้มีแนวโน้มว่ายอดขายยางแท่งเกรด EUDR จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนที่มียอดขายทั้งหมด 51,743 ตัน คิดเป็นสัดส่วน 45.11% ของปริมาณการส่งออกยางแท่งทั้งหมดในครึ่งปีหลัง สะท้อนถึงความสามารถในการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ และความต้องการสินค้ายางแท่งเกรด EUDR โดยเฉพาะตลาดยุโรป ที่ถึงแม้จะมีการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมาย EUDR ออกไปอีก 1 ปี โดยจะเริ่มบังคับใช้ 31 ธันวาคม 2568 ก็ตาม ขณะเดียวกัน อุปสงค์ของ EUDR ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อผลบริษัทในปีนี้ทั้งในเชิงของปริมาณขายและอัตรากำไร และยืนยันว่า บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบทางตรงจากมาตรการ Reciprocal Tariff ของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากอยู่ในรายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นจากการเก็บภาษีตามคำสั่งใหม่ (Annex II และ Annex III) และ สหรัฐฯ ยังคงไว้ซึ่งสถานะการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้ายางแท่ง และยังไม่มีการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติม ส่วนธุรกิจปาล์มน้ำมันจะสามารถเทิร์นอะราวด์ได้ในปีนี้ จากปัจจัยการลงทุนเครื่องจักรไปในปี 2567 และผลผลิตปาล์มที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจะสภาวะเอลนีโญ รวมถึงสายพลังงานที่จะเติบโตได้ตามแผนในปีนี้”


คลิปวิดีโอ