วันศุกร์ ที่ 25 เมษายน 2568 22:33น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.40 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

25 เมษายน 2025

        นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.40 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.44 บาทต่อดอลลาร์

        โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.38-33.49 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซน 143 เยนต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันบ้าง ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสกลับมาลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าที่เคยประเมินไว้ จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งระบุว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ หากนโยบายกีดกันทางการค้า กดดันให้การจ้างงานแย่ลง (Christopher Waller) และเฟดก็อาจปรับนโยบายการเงินได้อย่างเร็วสุดในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ หากเฟดมีความมั่นใจต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ (Beth Hammack) โดยการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ดังกล่าว ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้ ราคาทองคำทยอยรีบาวด์สูงขึ้น ส่งผลให้เงินบาททยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง 

         บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนให้หุ้นเทคฯ ต่างปรับตัวขึ้นได้ดีนำตลาด ท่ามกลางความหวังว่า รายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ จะออกมาสดใส (รายงานผลประกอบการของ Alphabet +2.5% ที่รายงานช่วง After close ก็ออกมาดีกว่าคาดชัดเจน ส่งผลให้ราคาหุ้น Alphabet ปรับตัวขึ้นอีก +4.6% ในช่วงหลังรับรู้ผลประกอบการ) ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +2.74% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +2.03%

         ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นราว +0.36% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส รวมถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนเมษายน ที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 86.9 จุด ดีกว่าคาด ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร ตามแรงขายทำกำไร อาทิ HSBC -2.1%, BNP -2.2% 

        ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มมองว่า เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด หลังรับรู้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดล่าสุด ก็มีส่วนทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงบ้าง เข้าใกล้โซน 4.30% อนึ่ง เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ นั้นมีความน่าสนใจอยู่ ในแง่ของ Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return) ทำให้ เราคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้จังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เท่านั้น

         ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ที่กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลงทดสอบโซน 143 เยนต่อดอลลาร์ แต่เงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันบ้าง ตามจังหวะการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดอาจขยับจังหวะการลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้นกว่าคาด ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 99.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.2-99.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงซื้อ Buy on Dip ทองคำ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) รีบาวด์สูงขึ้น สู่ระดับแถวโซน 3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวมได้จำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ 

        สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมีนาคม ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้ โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOE มีโอกาส 85% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง ในปีนี้

        ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนเมษายน (Final data) ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เมื่อเทียบรายงาน Preliminary data ที่ออกมาก่อนหน้า ในวันที่ 11 เมษายน ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคได้ปรับตัวลดลงหนักสู่ระดับ 50.8 จุด จากระดับ 57 จุด ในเดือนมีนาคม

        และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ 

        สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อนเพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะในวันนี้ที่ปัจจัยสำคัญในตลาดการเงินมีไม่มากนัก อย่างไรก็ดี อาจยังคงต้องรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ ว่าจะออกมาดีกว่าคาด หรือ แย่กว่าคาดชัดเจน เพราะล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของ BOE ไปมากพอสมควร (เกือบ 4 ครั้ง) ทำให้ หากรายงานยอดค้าปลีกของอังกฤษ ปรับตัวดีขึ้นกว่าคาด ก็อาจลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ BOE หนุนให้ เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อาจรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง พร้อมกันนั้น อาจต้องรอลุ้นว่า รายงาน Final data ของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ของสหรัฐฯ จะออกมาแตกต่างจากรายงาน Preliminary อย่างไร โดยหากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวปรับตัวลดลงเพิ่มเติมจากรายงานครั้งก่อน ก็อาจยิ่งสร้างความกังวลแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจกดดันทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จนหนุนให้ ราคาทองคำพอมีโอกาสทยอยปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง ส่วนเงินบาทก็มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้น

        อย่างไรก็ดี ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม อาจจำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำได้ ซึ่งต้องรอลุ้นว่า รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนจะยังคงออกมาสดใสต่อเนื่องได้หรือไม่ โดยหากราคาทองคำไม่สามารถกลับมาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและยังคงอยู่ในช่วงการพักฐาน เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ซึ่งจะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้ อีกทั้ง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็เสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ทำให้เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง นอกจากนี้ โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติก็จะเริ่มทยอยเพิ่มสูงขึ้น และอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้

        โดยรวมเรายังคงมองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดแถวโซนแนวต้าน 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ (โซนถัดไปจะอยู่แถว 33.80 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวรับยังคงอยู่แถว 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์

        ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

        มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.35-33.55 บาท/ดอลลาร์

 

 


คลิปวิดีโอ