วันศุกร์ ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 20:21น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.08 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”

28 กุมภาพันธ์ 2025

        นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.08 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.90 บาทต่อดอลลาร์

        โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 33.88-34.09 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อาจขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้าจากยุโรป เม็กซิโก แคนาดา และจีน ส่งผลให้บรรดาสกุลเงินดังกล่าวที่เสี่ยงเผชิญการขึ้นภาษีนำเข้า อย่าง เงินยูโร (EUR) และเงินหยวนจีน ต่างอ่อนค่าลงชัดเจน นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากจังหวะการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่มีจังหวะปรับตัวลงราว -20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นระยะๆ ในช่วงคืนที่ผ่านมา ทว่า การอ่อนค่าลงของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายเงินดอลลาร์รวมถึงการทยอยขายทำกำไรสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ขณะเดียวกัน รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน ยังคงหนุนให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสเกือบ 50% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ ซึ่งมุมมองดังกล่าวก็พอช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ได้บ้าง

        บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงชัดเจน ท่ามกลางแรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Nvidia -8.5% หลังผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังกับรายงานผลประกอบการของ Nvidia นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เผชิญแรงกดดันจากความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงนี้ ออกมาผสมผสาน อีกทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เตรียมจะเดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้าเพิ่มเติม ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.78% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.59%

        ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.46% กดดันโดยแรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor เช่นเดียวกับในฝั่งสหรัฐฯ อาทิ ASML -2.2% นอกจากนี้ ความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจากยุโรป ยังได้กดดันตลาดหุ้นยุโรป โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มยานยนต์

        ในส่วนตลาดบอนด์ บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน จนทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า เฟดมีโอกาสราว 50% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลงสู่ระดับ 4.24% อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว มากกว่าไล่ราคาซื้อ เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่อาจปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด

          ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งกดดันสกุลเงินที่เสี่ยงเผชิญการขึ้นภาษีนำเข้า อย่าง เงินยูโร (EUR) และเงินหยวนจีน เป็นต้น ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน ส่งผลให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้น สู่โซน 107.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.5-107.3 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และแรงขายทำกำไรทองคำ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) มีจังหวะปรับตัวลดลงบ้าง ทว่า ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินและการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้ ราคาทองคำย่อตัวลงบ้าง และยังสามารถแกว่งตัวแถวโซน 2,890 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

         สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ว่าจะมีการประกาศเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจากยุโรป เม็กซิโก แคนาดา และจีน อย่างไรบ้าง

        ส่วนในฝั่งเอเชีย ช่วงราว 8.30 น. ของเช้าวันเสาร์นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ของจีน ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

        สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท การทยอยอ่อนค่าลงของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา จนทะลุโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ นั้น ทำให้ เรามีมุมมองเชิงลบต่อเงินบาทมากขึ้น โดยเงินบาทเสี่ยงกลับมาอยู่ในแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อประเมินตามกลยุทธ์ Trend-Following อย่างไรก็ดี เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้หรือไม่นั้น เรามองว่า ต้องจับตาทิศทางราคาทองคำอย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงที่ ราคาทองคำ (XAUUSD) ได้ทยอยย่อตัวลงสู่โซนแนวรับสำคัญ ซึ่งหากราคาทองคำปรับตัวลดลงหลุดโซนแนวรับ 2,870-2,880 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างชัดเจน ก็อาจสะท้อนว่า ราคาทองคำได้เข้าสู่การปรับฐาน (Correction) เพิ่มความเสี่ยงที่จะเห็นราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทในฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม ในทางกลับกัน หากราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นจากโซนดังกล่าวได้ ก็อาจพอช่วยหนุนเงินบาทไม่ให้อ่อนค่าไปมาก หรืออย่างน้อยก็ช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้

        อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเตรียมรับมือ ความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในช่วงราว 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย เนื่องจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมาสะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) มีโอกาสแกว่งตัว +0.10%/-0.22% ในช่วง 30 นาที หลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว

        ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

         มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.90-34.25 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ)


คลิปวิดีโอ