เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ยื่น filing เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 2 ชุด อายุ 2 ปี และ 3 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 4.50% และ 5.00% ต่อปี โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 4–6 กุมภาพันธ์ 2568 สถาบันการเงินในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ มั่นใจเป็นโอกาสดีของผู้ลงทุนในหุ้นกู้ของธุรกิจโรงแรมที่มีศักยภาพ และมีโอกาสเติบโตในอนาคต เช่นเดียวกับหุ้นกู้ของบริษัทแม่ “สิงห์ เอสเตท” ที่ได้รับยอดจองซื้อเต็มจำนวนตามเป้าที่วางไว้
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ “SHR” บริษัทในเครือ “สิงห์ เอสเตท” เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลตราสารหนี้ (filing) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยหุ้นกู้ดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ชุด ได้แก่ ชุดที่ 1 หุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.50% ต่อปี และ ชุดที่ 2 หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี โดยหุ้นกู้ดังกล่าวจะชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และคาดว่าจะเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไประหว่างวันที่ 4 – 6 กุมภาพันธ์ 2568 ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แต่งตั้งสถาบันการเงิน 5 แห่ง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด
สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ที่ระดับ “BBB” ซึ่งเป็นกลุ่ม “ระดับลงทุน” (Investment grade) ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “Negative” โดยทริสเรทติ้ง ระบุว่า อันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวสะท้อนถึงประมาณการที่ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทฯ จะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไปจากการมีปัจจัยที่เกื้อหนุนคือการกลับมาเปิดดำเนินงานตามปกติของโรงแรมของบริษัทฯ หลังจากที่ปิดปรับปรุงในช่วงที่ผ่านมา
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘SHR’ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมและลงทุนในธุรกิจโรงแรมระดับนานาชาติที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งมีผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่นอย่างชัดเจนในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์ปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงแรมทราย ลากูน่า ภูเก็ต โรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ และโรงแรม เอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) ให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับกระแสการขยายตัวของธุรกิจการท่องเที่ยวในหลายประเทศทั่วโลก หนุนให้บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 7,746 ล้านบาท และสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ผลกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core Operating Profit) เติบโตขึ้นกว่า 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งของ SHR พร้อมรับแรงสนับสนุนจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยและในหลาย ๆ ประเทศที่ลงทุน
นายไมเคิล มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เปิดเผยว่า “การฟื้นตัวของผลประกอบการบริษัทฯ ที่โดดเด่น จากแผนปรับปรุงโครงสร้างการลงทุน กลยุทธ์พัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ และการยกระดับประสิทธิภาพในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสอดรับกับแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกที่ยังคงสดใสในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่า หุ้นกู้ดังกล่าวจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับการเสนอขายหุ้นกู้ของ สิงห์ เอสเตท ในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา”
“อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนับเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในเกือบทุกประเทศที่บริษัทฯ มีการดำเนินงานอยู่ โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งนโยบายผ่อนปรนทางวีซ่า และค่าเดินทางที่ลดลง SHR เล็งเห็นโอกาสในการขยายตัวอย่างมาก เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ จึงได้ตัดสินใจออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อบริหารต้นทุนทางการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เสริมสร้างฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และต่อยอดการขยายธุรกิจเพื่อคว้าโอกาสการเติบโตจากกระแสการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลก โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นแสวงหาโอกาสลงทุนในประเทศเป็นหลักในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อีกทั้ง พิจารณาขยายขอบเขตธุรกิจเข้าสู่โรงแรมในเมืองใหญ่ (Urban City Hotel Concept) เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว พร้อมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้บริษัทฯ แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น” นายไมเคิล เดวิท มาร์แชล กล่าวเสริม