ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ระบุแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 จะดีขึ้นกว่าปี 2567 เนื่องจากดอกเบี้ยมีทิศทางปรับลดลง รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับล่าสุดมาตรการสินเชื่อซื้อ-ซ่อม-สร้าง 50,000 ล้านบาท เชื่อจะส่งผลโดยตรงต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ขณะที่ยอดโอนลดลง 4.4% แนวราบร่วงแรงกว่าคอนโดมิเนียม คาดการณ์ปี 68 หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจำนวนหน่วย และมูลค่าเพิ่มขึ้น
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 คาดว่าจะมีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย 363,600 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -4.5 ถึงร้อยละ 12.3 ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ 254,520 หน่วย เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.7 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -1.4 ถึงร้อยละ 16.0 และอาคารชุด 109,080 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -11.6 ถึงร้อยละ 3.9 ส่วนมูลค่าคาดว่าจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภทจำนวนประมาณ 1,043,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -8.6 ถึงร้อยละ 12.0 โดยที่อยู่อาศัยแนวราบ จะมีมูลค่า 739,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -7.2 ถึงร้อยละ 13.8 ด้านอาคารชุด จะมีมูลค่า 303,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -12.7 ถึงร้อยละ 7.8
ในภาพรวมจึงดีขึ้นกว่าปี 2567 เนื่องจากปัจจัยทิศทางของดอกเบี้ยที่ปรับลดลง รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับล่าสุดครม. เห็นชอบมาตรการสินเชื่อซื้อ-ซ่อม-สร้างให้ธอส. ดำเนินการปล่อยสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาท มั่นใจว่า จะกระตุ้นการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเช่น เฟอร์นิเจอร์ ก่อสร้าง การออกแบบตกแต่ง เป็นต้น
ทั้งนี้ในปี 2568 ยังมีปัจจัยลบที่ต้องเฝ้าระวังผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้แก่ ภาระหนี้สินครัวเรือนอยู่ในระดับสูงไม่มีมาตรการผ่อนปรน LTVสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางจะส่งผลรุนแรงต่อราคาน้ำมันและพลังงานนโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ อาจส่งผล กระทบต่อเศรษฐกิจการค้าโลก โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าปัญหาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีน ยังมีความเปราะบางจาก ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์และผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีน และกำลังซื้อห้องชุดของชาวจีนที่อาจจะชะลอตัวลง
สำหรับในปี 2567 สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ไตรมาส 2-3 ยังคงติดลบเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ถือว่า ติดลบน้อยกว่าไตรมาส 1 ปี 2567 สะท้อนถึงตลาดที่อยู่อาศัยมีสัญญาณการฟื้นตัวขึ้น หลังจากได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ให้กับที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จากเดิมไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น จึงทำให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ การโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด ไตรมาส 3 ปี 2567 เมื่อรวมทุกระดับราคา อาคารชุดโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 3 ปี 2567 มีจำนวนรวม 31,247 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีการโอนจำนวน 29,041 หน่วย แต่มีมูลค่า 79,284 ล้านบาท มูลค่าลดลงร้อยละ -1.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีมูลค่า 80,673 ล้านบาท
REIC คาดการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ทั่วประเทศ ปี 2567 ทั้งปี จะมีจำนวน 350,545 หน่วยลดลงร้อยละ -4.4% แบ่งเป็น ที่อยู่อาศัยแนวราบ 243,088 หน่วย ลดลงร้อยละ 6.0 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -15.4 ถึงร้อยละ 3.3 และอาคารชุด 107,456 หน่วย ลดลงร้อยละ -0.6
ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภทจำนวน 1,012,760 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -3.3 โดยที่อยู่อาศัยแนวราบ จะมีมูลค่า 717,052 ล้านบาทลดลงร้อยละ -3.4 ด้านอาคารชุด จะมีมูลค่า 295,707 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -2.9
สำหรับแนวโน้มปี 2568 คาดว่าจะมีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจำนวน 363,600 หน่วย เพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.7 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -4.5 ถึงร้อยละ 12.3 ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ 254,520 หน่วยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.7 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -1.4 ถึงร้อยละ 16.0 และอาคารชุด 109,080 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ – 11.6 ถึงร้อยละ 3.9
ส่วนมูลค่าคาดว่าจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภทจำนวน1,043,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -8.6 ถึงร้อยละ 12.00 โดยที่อยู่อาศัยแนวราบ จะมีมูลค่า 739,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -7.2 ถึงร้อยละ 13.8 ด้านอาคารชุด จะมีมูลค่า 303,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -12.7 ถึงร้อยละ 7.8